สหกรณ์ร้านค้า เป็นสหกรณ์ประเภทแรกที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย และเริ่มได้รับความนิยมจากประชาชน
ในการเข้าร่วมกิจกรรมกับสหกรณ์ โดยการเข้าเป็นสมาชิกและใช้สิทธิซื้อสินค้าพร้อมทั้งได้รับเงินปันผล เงินเฉลี่ย
คืนเมื่อสหกรณ์ทำการได้ครบรอบปีบัญชีแล้วมีผลกำไร จึงนำมาจัดสรรให้กับสมาชิก ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2500 ถึง พ.ศ.2515 ประเทศมีการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทำให้กิจการสหกรณ์ร้านค้า
เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป จึงมีการเปิดสหกรณ์ร้านค้าขึ้นเกือบแทบทุกจังหวัด
ในประเทศ และมีมากกว่า 500 แห่งดำเนินงานเป็นอิสระ โดยไม่ได้ควบหรือเป็นสาขาของกันและกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจ
ของประเทศเติบโตขึ้น รูปแบบการค้าที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศถูกนำเข้ามาใช้ เช่น ห้างสรรพสินค้าขนาด
ใหญ่ ศูนย์การค้าปลีกรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และเริ่มออกห่างจากสหกรณ์ร้านค้า จนทำให้
กิจการของสหกรณ์ลดน้อยลงเป็นลำดับ
นายสิงห์ทอง ชินวรรังสี อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เปิดเผยถึง สถานการณ์ร้านสหกรณ์ในหลายพื้นที่
ทั่วประเทศในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการบริโภคและการขยายสาขาของค้าปลีกสมัย
ใหม่ (Moderntrade) และร้านสะดวกชื้อที่มีสิ่งจูงใจทั้งสินค้าและรูปแบบร้านค้าทันสมัยมากกว่าร้านสหกรณ์ อีกทั้ง
มีการจัดโปรโมชั่นแจกแถมสารพัด ทำให้คนในพื้นที่ชุมชนหันไปซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อมากกว่าอย่างต่อเนื่อง
และที่เป็นข้อจำกัดสำคัญในการให้บริการของร้านสหกรณ์ส่วนใหญ่คือการเปิดจำหน่ายตามเวลาราชการเท่านั้น
อีกทั้งปัญหาการรับสมาชิกสมทบบางส่วนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งขัดต่อข้อกฎหมายที่ระบุว่าต้องเป็นบุคคลธรรมดาและ
บรรลุนิติภาวะ ซึ่งจากหลายสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นล้วนมีผลกระทบและส่งผลให้ร้านสหกรณ์มีแนวโน้มลดลงทุกปี
หรือเฉลี่ยปีละ 4-5 % จาก 314 แห่ง ในปี'51 เหลือเพียง 284 แห่งในปี 53 โดยคงเหลือร้านสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจ
ปกติอยู่เพียง 171 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 60.21 ของสหกรณ์ที่จดทะเบียนดำเนินการปี'53 ขณะที่อีก 87 แห่ง หรือ
ร้อยละ 30.63 ของสหกรณ์ร้านค้าที่มีอยู่ทั้งสิ้น อยู่ในขั้นตอนเตรียมเลิกกิจการ
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลการดำเนินงานของร้านสหกรณ์ปี'53 โดยรวมถือว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดีพอ
สมควรโดยจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานที่มีกำไรถึง 144 แห่ง ขาดทุนเพียง 35 แห่ง เมื่อหักลบกันแล้วยังเหลือ
เป็นกำไรสุทธิรวม 160.95 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.98 ของรายได้ และข้อบ่งชี้ จำนวนสมาชิกร้านสหกรณ์ยังคงมี
อัตราเพิ่มขึ้นเชิงบวก จาก 715,753 ราย ในปี'51 เพิ่มขึ้นเป็น 717,611 รายในปี'53 และ มีมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น
5,472.18 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 456.01 ล้านบาทต่อเดือน
หากมองด้านทุนดำเนินการของร้านสหกรณ์รอบ 4 ปีที่ผ่านมา แม้ทรงตัวอยู่ในระดับสองพันกว่าล้านบาท
พบว่า ส่วนใหญ่เป็นทุนของสหกรณ์เอง และมีอัตราที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกปี ปี'53 ส่วนของหนี้สินภายนอกมีเพียง
ร้อยละ 11.98 ของทุนดำเนินการ ลดลงถึงร้อยละ 20.27 เมื่อเทียบกับปี'52 โดยทุนส่วนใหญ่ยังถือเป็นเงินสดและ
เงินฝากธนาคารร้อยละ 35.89 ส่วนหนึ่งลงทุนไปกับลูกหนี้การค้าร้อยละ 25.38 ในอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 15.38
ลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารร้อยละ 6.89 ในสินค้าและอื่นๆร้อยละ 16.46
อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวเสริมว่า ณ ขณะนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงพาณิชย์
ได้ร่วมหารือถึงสถานการณ์ร้านสหกรณ์ที่มีแนวโน้มลดลงทุกปี โดยให้หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ
อาทิ ตัวแทนจากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบร้านสหกรณ์ นอกจากนี้ในส่วนของกรมตรวจบัญชี
สหกรณ์ได้นำเสนอปัญหาจากการตรวจสอบบัญชี โดยพบว่า ร้านสหกรณ์มีปัญหาด้านระบบการควบคุมภายใน
และการจัดทำบัญชีที่ไม่เป็นปัจจุบัน สามารถตรวจสอบบัญชีได้เพียง 179 แห่ง หรือร้อยละ 63.03 ของจำนวนร้าน
สหกรณ์ทั้งสิ้น ซึ่งในขณะนี้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กำลัง รนณรงค์ในร้านสหกรณ์ทั่วประเทศใช้โปรแกรมระบบบัญชี
สหกรณ์ร้านค้าที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูง ทันสมัย ทัดเทียมกับโปรแกรมระบบบัญชีของ
ห้างสรรพสินค้า (Moderntrade) และร้านสะดวกซื้อทั่วไป กรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีความมั่นใจว่าโปรแกรมระบบ
บัญชีสหกรณ์ร้านค้านี้จะช่วยแก้ปัญหาด้านการจัดทำบัญชีตลอดจนการปิดบัญชี จัดทำงบการเงิน เสริมสร้างการ
บริหารงานของร้านสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้นได้ ทั้งนี้การให้บริการติดตั้งโปรแกรมระบบ
บัญชีดังกล่าว กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดำเนินการให้โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด
|