Sorry, your browser does not support JavaScript!
W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 
    
                                                                                  โดย...จีระศักดิ์  อุราสาย  
  

    " ไอ้หนุ่มตังเกร่อนเร่หาปลา    ล่องลอยนาวาเห็นน้ำกับฟ้าเป็นเพื่อน

       ลากอวนจับปลากลางทะเล  นอนในตังเกแรมเดือน   ผิวคล้ำดำเปื้อนคาวปลา….. ”

เสียงเพลงไอ้หนุ่มตังเกล่องลอยมาตามสายลมทะเลที่พัดมาอย่างต่อเนื่อง  เมื่อมองไกลออกไปจาก
ชายฝั่งเรือประมงหลายลำกำลังทำงานจับปลากันตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมา  หลายคนคงเคยได้ยินเพลงนี้
และอีกหลายคนที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าการทำประมงไม่ว่าจะเป็นประมงน้ำจืดหรือประมงทะเลนั้นมีส่วน
สำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพียงใด
ผู้ประกอบการประมงหลายรายที่รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ประมงโดยสมาชิกของสหกรณ์ประกอบอาชีพเฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการจำหน่ายรวมถึงการทำประมงตามชายฝั่งหรือในท้องทะเลก็ตามต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับอาชีพของตน ในรอบปี 2553 ที่ผ่านไปนั้นสมาชิกของสหกรณ์ประมง ณ วันสิ้นปีคงเหลือจำนวน13,701 คน และมีปริมาณธุรกิจโดยรวมเท่ากับ 663.49 ล้านบาท
โดยบริการที่สหกรณ์มีให้แก่สมาชิกนั้น ได้แก่ การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (ร้อยละ 53.13) การรวบรวมผลิตผล (ร้อยละ 18.82) การให้กู้ (ร้อยละ 12.61) การให้บริการ (ร้อยละ 10.77) และการรับฝากเงิน (ร้อยละ 4.67)
ตามลำดับ สหกรณ์ประมงดำเนินงานโดยอาศัยเงินทุนของสหกรณ์เองจำนวน 619.33 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายใน 313.51 ล้านบาท (ร้อยละ 50.62) และจากแหล่งเงินทุนภายนอก 305.82 ล้านบาท (ร้อยละ 49.
40) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหนี้เงินกู้ยืมและเครดิตทางการค้า
227.09 ล้านบาท (ร้อยละ 74.25) และมาจากหนี้สินอื่นจำนวน 78.85  
ล้านบาท (ร้อยละ 25.75)  
ผลการดำเนินงานในรอบปี 2553 สหกรณ์ประมงทั้งประเทศมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 56.35 ล้านบาท * โดยสหกรณ์ที่มีกำไรมีจำนวน 34 สหกรณ์ คิดเป็นร้อยละ 60.71 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมด และมียอดกำไรรวมเท่ากับ 79.47 ล้านบาท  สหกรณ์ประมงที่มีกำไรสูงสุดของประเทศคือสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสุราษฏร์ธานี จำกัด (47.55 ล้านบาท)  รองลงมาได้แก่ สหกรณ์พัฒนาการประมงมหาชัย จำกัด (18.03 ล้านบาท) และ
สหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด ( 5.34 ล้านบาท) ตามลำดับ ส่วนสหกรณ์ที่ขาดทุนมีจำนวน 21 สหกรณ์
คิดเป็นร้อยละ 39.29 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมดและมียอดขาดทุนรวมเท่ากับ 19.76 ล้านบาท และ
ไม่มีข้อมูลจำนวน 1 แห่ง
ถ้าจะวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของสหกรณ์โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวชี้วัดแล้วจะพบว่าอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน เท่ากับ 0.68 เช่นเดียวกันกับอัตราส่วนของหนี้สินทั้งสิ้น
ต่อทุนซึ่งสูงถึง 23.61 เท่า แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านหนี้สินของสหกรณ์ประมงไม่ดีนัก เนื่องจากสหกรณ์ประมงกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิ้นทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวในเวลาเดียวกันซึ่งจะมีผลกระทบ
ค่อนข้างสูงต่อสภาพคล่องทางการเงินและโอกาสในการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์  นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้สหกรณ์ควรพิจารณาเพิ่มทุนการดำเนินงานให้มากขึ้นเพื่อความมั่นคงและเข้มแข็งทางการเงินในระยะยาวและควรปรับลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกลง  ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาตัวชี้วัดด้านระดับการเฝ้าระวังทางการเงิน
ก็ได้ข้อสรุปว่า จำนวนสหกรณ์ที่จัดอยู่ในระดับการเฝ้าระวังตามปกติ คิดเป็นร้อยละ 8.21 ระดับการเฝ้าระวังมากขึ้น ร้อยละ 32.88 ระดับการเฝ้าระวังพิเศษ ร้อยละ 28.77 และระดับการเฝ้าระวังพิเศษเร่งด่วน ร้อยละ 19.18 ของจำนวนสหกรณ์ประมงทั้งหมด (ที่มา
:รายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินสหกรณ์ประมง
ประจำปี 2553) ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดระดับเสถียรภาพทางการเงินโดยกรมตรวจบัญชีสหกรณ์พบว่า
มีสหกรณ์ประมงถึงร้อยละ 61.34 ที่มีระดับเสถียรภาพทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานและในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 30.67 ที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน (ที่มา
:รายงานการจัดเสถียรภาพทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
ปี 2553)  แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของสหกรณ์ประมงในปัจจุบันค่อนข้างเปราะบางต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินงานและคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องทุกระยะ
จุดแข็ง / โอกาส
การที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและอาหารหลักประเภทหนึ่งของคนไทยคือปลาหรือสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,614  กิโลเมตร แบ่งเป็นชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย 1,660 กิโลเมตร  ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 17 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) และชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน 954 กิโลเมตร  ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 6 จังหวัด (ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ) จึงเอื้ออำนวยให้มีการประกอบอาชีพประมงทั้งประมงน้ำจืดและประมงน้ำเค็มกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงมีองค์ความรู้และความชำนาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือจับปลาในทะเลทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการประมงต่างประเทศ   นอกจากนี้ปัจจุบันประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการมากขึ้นจึงเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสูงและไขมันต่ำดังนั้นอาหารที่ปรุงจากปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ
ซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยทั่วไป  ประกอบกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
(UNEP) และ WorldFish Center ได้ออกรายงานเรื่อง " Blue Harvest : Inland Fisheries and Eco System Services ซึ่งเน้นถึงบทบาทและความสำคัญของประมงน้ำจืดในด้านอาหารและโภชนาการโดยเฉพาะต่อเด็ก  ทั้งนี้รายงานดังกล่าวได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ใช้แนวคิดเชิงนิเวศวิทยามาใช้ในการจัดการประมงน้ำจืดซึ่งเป็นภาคการประมงที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน (ที่มา : Thai Frozen Food Association :TFFA )  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความต้องการบริโภคปลามีแนวโน้มสูงขึ้น
จึงส่งผลให้สหกรณ์ประมงมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคตแต่จะเติบโตมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและหนึ่งในนั้นคือการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพ

จุดอ่อน / อุปสรรค

การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ
เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน
ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป  นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น  ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที  แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต
  นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี
นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ
ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย  เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน  ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล (
Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร
มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้  เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด
หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้
ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้
ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ
ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สหกรณ์ไทย ...คืนกำไรสู่สมาชิก 80.52 %
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 7255 คน จำนวนคนโหวต 17 คน

  จำนวนคนโหวต 17 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
0%
  ให้ 2 คะแนน
 
6%
  ให้ 3 คะแนน
0%
  ให้ 4 คะแนน
 
24%
  ให้ 5 คะแนน
 
71%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel