" ไอ้หนุ่มตังเกร่อนเร่หาปลา ล่องลอยนาวาเห็นน้ำกับฟ้าเป็นเพื่อน ลากอวนจับปลากลางทะเล นอนในตังเกแรมเดือน ผิวคล้ำดำเปื้อนคาวปลา .. เสียงเพลงไอ้หนุ่มตังเกล่องลอยมาตามสายลมทะเลที่พัดมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองไกลออกไปจาก ชายฝั่งเรือประมงหลายลำกำลังทำงานจับปลากันตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมา หลายคนคงเคยได้ยินเพลงนี้ และอีกหลายคนที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าการทำประมงไม่ว่าจะเป็นประมงน้ำจืดหรือประมงทะเลนั้นมีส่วน สำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพียงใด ผู้ประกอบการประมงหลายรายที่รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ประมงโดยสมาชิกของสหกรณ์ประกอบอาชีพเฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการจำหน่ายรวมถึงการทำประมงตามชายฝั่งหรือในท้องทะเลก็ตามต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับอาชีพของตน ในรอบปี 2553 ที่ผ่านไปนั้นสมาชิกของสหกรณ์ประมง ณ วันสิ้นปีคงเหลือจำนวน13,701 คน และมีปริมาณธุรกิจโดยรวมเท่ากับ 663.49 ล้านบาท โดยบริการที่สหกรณ์มีให้แก่สมาชิกนั้น ได้แก่ การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (ร้อยละ 53.13) การรวบรวมผลิตผล (ร้อยละ 18.82) การให้กู้ (ร้อยละ 12.61) การให้บริการ (ร้อยละ 10.77) และการรับฝากเงิน (ร้อยละ 4.67) ตามลำดับ สหกรณ์ประมงดำเนินงานโดยอาศัยเงินทุนของสหกรณ์เองจำนวน 619.33 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายใน 313.51 ล้านบาท (ร้อยละ 50.62) และจากแหล่งเงินทุนภายนอก 305.82 ล้านบาท (ร้อยละ 49.40) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหนี้เงินกู้ยืมและเครดิตทางการค้า 227.09 ล้านบาท (ร้อยละ 74.25) และมาจากหนี้สินอื่นจำนวน 78.85 ล้านบาท (ร้อยละ 25.75) ผลการดำเนินงานในรอบปี 2553 สหกรณ์ประมงทั้งประเทศมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 56.35 ล้านบาท * โดยสหกรณ์ที่มีกำไรมีจำนวน 34 สหกรณ์ คิดเป็นร้อยละ 60.71 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมด และมียอดกำไรรวมเท่ากับ 79.47 ล้านบาท สหกรณ์ประมงที่มีกำไรสูงสุดของประเทศคือสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสุราษฏร์ธานี จำกัด (47.55 ล้านบาท) รองลงมาได้แก่ สหกรณ์พัฒนาการประมงมหาชัย จำกัด (18.03 ล้านบาท) และ สหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด ( 5.34 ล้านบาท) ตามลำดับ ส่วนสหกรณ์ที่ขาดทุนมีจำนวน 21 สหกรณ์ คิดเป็นร้อยละ 39.29 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมดและมียอดขาดทุนรวมเท่ากับ 19.76 ล้านบาท และ ไม่มีข้อมูลจำนวน 1 แห่ง ถ้าจะวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของสหกรณ์โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวชี้วัดแล้วจะพบว่าอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน เท่ากับ 0.68 เช่นเดียวกันกับอัตราส่วนของหนี้สินทั้งสิ้น ต่อทุนซึ่งสูงถึง 23.61 เท่า แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านหนี้สินของสหกรณ์ประมงไม่ดีนัก เนื่องจากสหกรณ์ประมงกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิ้นทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวในเวลาเดียวกันซึ่งจะมีผลกระทบ ค่อนข้างสูงต่อสภาพคล่องทางการเงินและโอกาสในการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้สหกรณ์ควรพิจารณาเพิ่มทุนการดำเนินงานให้มากขึ้นเพื่อความมั่นคงและเข้มแข็งทางการเงินในระยะยาวและควรปรับลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกลง ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาตัวชี้วัดด้านระดับการเฝ้าระวังทางการเงิน ก็ได้ข้อสรุปว่า จำนวนสหกรณ์ที่จัดอยู่ในระดับการเฝ้าระวังตามปกติ คิดเป็นร้อยละ 8.21 ระดับการเฝ้าระวังมากขึ้น ร้อยละ 32.88 ระดับการเฝ้าระวังพิเศษ ร้อยละ 28.77 และระดับการเฝ้าระวังพิเศษเร่งด่วน ร้อยละ 19.18 ของจำนวนสหกรณ์ประมงทั้งหมด (ที่มา:รายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินสหกรณ์ประมง ประจำปี 2553) ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดระดับเสถียรภาพทางการเงินโดยกรมตรวจบัญชีสหกรณ์พบว่า มีสหกรณ์ประมงถึงร้อยละ 61.34 ที่มีระดับเสถียรภาพทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานและในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 30.67 ที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน (ที่มา:รายงานการจัดเสถียรภาพทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ปี 2553) แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของสหกรณ์ประมงในปัจจุบันค่อนข้างเปราะบางต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินงานและคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องทุกระยะ จุดแข็ง / โอกาส การที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและอาหารหลักประเภทหนึ่งของคนไทยคือปลาหรือสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,614 กิโลเมตร แบ่งเป็นชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย 1,660 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 17 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) และชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน 954 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 6 จังหวัด (ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ) จึงเอื้ออำนวยให้มีการประกอบอาชีพประมงทั้งประมงน้ำจืดและประมงน้ำเค็มกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงมีองค์ความรู้และความชำนาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือจับปลาในทะเลทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการประมงต่างประเทศ นอกจากนี้ปัจจุบันประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการมากขึ้นจึงเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสูงและไขมันต่ำดังนั้นอาหารที่ปรุงจากปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยทั่วไป ประกอบกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ WorldFish Center ได้ออกรายงานเรื่อง " Blue Harvest : Inland Fisheries and Eco System Services ซึ่งเน้นถึงบทบาทและความสำคัญของประมงน้ำจืดในด้านอาหารและโภชนาการโดยเฉพาะต่อเด็ก ทั้งนี้รายงานดังกล่าวได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ใช้แนวคิดเชิงนิเวศวิทยามาใช้ในการจัดการประมงน้ำจืดซึ่งเป็นภาคการประมงที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน (ที่มา : Thai Frozen Food Association :TFFA ) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความต้องการบริโภคปลามีแนวโน้มสูงขึ้น จึงส่งผลให้สหกรณ์ประมงมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคตแต่จะเติบโตมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและหนึ่งในนั้นคือการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพ จุดอ่อน / อุปสรรค การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล ( Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้ ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน ?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>
ลากอวนจับปลากลางทะเล นอนในตังเกแรมเดือน ผิวคล้ำดำเปื้อนคาวปลา .. เสียงเพลงไอ้หนุ่มตังเกล่องลอยมาตามสายลมทะเลที่พัดมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองไกลออกไปจาก ชายฝั่งเรือประมงหลายลำกำลังทำงานจับปลากันตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมา หลายคนคงเคยได้ยินเพลงนี้ และอีกหลายคนที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าการทำประมงไม่ว่าจะเป็นประมงน้ำจืดหรือประมงทะเลนั้นมีส่วน สำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพียงใด ผู้ประกอบการประมงหลายรายที่รวมตัวกันเป็นสหกรณ์ประมงโดยสมาชิกของสหกรณ์ประกอบอาชีพเฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการจำหน่ายรวมถึงการทำประมงตามชายฝั่งหรือในท้องทะเลก็ตามต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับอาชีพของตน ในรอบปี 2553 ที่ผ่านไปนั้นสมาชิกของสหกรณ์ประมง ณ วันสิ้นปีคงเหลือจำนวน13,701 คน และมีปริมาณธุรกิจโดยรวมเท่ากับ 663.49 ล้านบาท โดยบริการที่สหกรณ์มีให้แก่สมาชิกนั้น ได้แก่ การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (ร้อยละ 53.13) การรวบรวมผลิตผล (ร้อยละ 18.82) การให้กู้ (ร้อยละ 12.61) การให้บริการ (ร้อยละ 10.77) และการรับฝากเงิน (ร้อยละ 4.67) ตามลำดับ สหกรณ์ประมงดำเนินงานโดยอาศัยเงินทุนของสหกรณ์เองจำนวน 619.33 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายใน 313.51 ล้านบาท (ร้อยละ 50.62) และจากแหล่งเงินทุนภายนอก 305.82 ล้านบาท (ร้อยละ 49.40) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหนี้เงินกู้ยืมและเครดิตทางการค้า 227.09 ล้านบาท (ร้อยละ 74.25) และมาจากหนี้สินอื่นจำนวน 78.85 ล้านบาท (ร้อยละ 25.75) ผลการดำเนินงานในรอบปี 2553 สหกรณ์ประมงทั้งประเทศมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 56.35 ล้านบาท * โดยสหกรณ์ที่มีกำไรมีจำนวน 34 สหกรณ์ คิดเป็นร้อยละ 60.71 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมด และมียอดกำไรรวมเท่ากับ 79.47 ล้านบาท สหกรณ์ประมงที่มีกำไรสูงสุดของประเทศคือสหกรณ์ผู้เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสุราษฏร์ธานี จำกัด (47.55 ล้านบาท) รองลงมาได้แก่ สหกรณ์พัฒนาการประมงมหาชัย จำกัด (18.03 ล้านบาท) และ สหกรณ์ประมงแม่กลอง จำกัด ( 5.34 ล้านบาท) ตามลำดับ ส่วนสหกรณ์ที่ขาดทุนมีจำนวน 21 สหกรณ์ คิดเป็นร้อยละ 39.29 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมดและมียอดขาดทุนรวมเท่ากับ 19.76 ล้านบาท และ ไม่มีข้อมูลจำนวน 1 แห่ง ถ้าจะวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของสหกรณ์โดยใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวชี้วัดแล้วจะพบว่าอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน เท่ากับ 0.68 เช่นเดียวกันกับอัตราส่วนของหนี้สินทั้งสิ้น ต่อทุนซึ่งสูงถึง 23.61 เท่า แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านหนี้สินของสหกรณ์ประมงไม่ดีนัก เนื่องจากสหกรณ์ประมงกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สิ้นทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวในเวลาเดียวกันซึ่งจะมีผลกระทบ ค่อนข้างสูงต่อสภาพคล่องทางการเงินและโอกาสในการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้สหกรณ์ควรพิจารณาเพิ่มทุนการดำเนินงานให้มากขึ้นเพื่อความมั่นคงและเข้มแข็งทางการเงินในระยะยาวและควรปรับลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกลง ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาตัวชี้วัดด้านระดับการเฝ้าระวังทางการเงิน ก็ได้ข้อสรุปว่า จำนวนสหกรณ์ที่จัดอยู่ในระดับการเฝ้าระวังตามปกติ คิดเป็นร้อยละ 8.21 ระดับการเฝ้าระวังมากขึ้น ร้อยละ 32.88 ระดับการเฝ้าระวังพิเศษ ร้อยละ 28.77 และระดับการเฝ้าระวังพิเศษเร่งด่วน ร้อยละ 19.18 ของจำนวนสหกรณ์ประมงทั้งหมด (ที่มา:รายงานผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินสหกรณ์ประมง ประจำปี 2553) ซึ่งสอดคล้องกับผลการจัดระดับเสถียรภาพทางการเงินโดยกรมตรวจบัญชีสหกรณ์พบว่า มีสหกรณ์ประมงถึงร้อยละ 61.34 ที่มีระดับเสถียรภาพทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานและในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 30.67 ที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน (ที่มา:รายงานการจัดเสถียรภาพทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ปี 2553) แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเงินของสหกรณ์ประมงในปัจจุบันค่อนข้างเปราะบางต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินงานและคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องทุกระยะ จุดแข็ง / โอกาส การที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและอาหารหลักประเภทหนึ่งของคนไทยคือปลาหรือสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,614 กิโลเมตร แบ่งเป็นชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย 1,660 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 17 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) และชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน 954 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรวม 6 จังหวัด (ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ) จึงเอื้ออำนวยให้มีการประกอบอาชีพประมงทั้งประมงน้ำจืดและประมงน้ำเค็มกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงมีองค์ความรู้และความชำนาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือจับปลาในทะเลทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการประมงต่างประเทศ นอกจากนี้ปัจจุบันประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการมากขึ้นจึงเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสูงและไขมันต่ำดังนั้นอาหารที่ปรุงจากปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าวจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยทั่วไป ประกอบกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ WorldFish Center ได้ออกรายงานเรื่อง " Blue Harvest : Inland Fisheries and Eco System Services ซึ่งเน้นถึงบทบาทและความสำคัญของประมงน้ำจืดในด้านอาหารและโภชนาการโดยเฉพาะต่อเด็ก ทั้งนี้รายงานดังกล่าวได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ใช้แนวคิดเชิงนิเวศวิทยามาใช้ในการจัดการประมงน้ำจืดซึ่งเป็นภาคการประมงที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน (ที่มา : Thai Frozen Food Association :TFFA ) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความต้องการบริโภคปลามีแนวโน้มสูงขึ้น จึงส่งผลให้สหกรณ์ประมงมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคตแต่จะเติบโตมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและหนึ่งในนั้นคือการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพ จุดอ่อน / อุปสรรค การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล ( Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้ ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน ?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>
จุดอ่อน / อุปสรรค การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล ( Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้ ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน ?xml:namespace>?xml:namespace>?xml:namespace>
จุดอ่อน / อุปสรรค การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล ( Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้ ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน ?xml:namespace>?xml:namespace>
จุดอ่อน / อุปสรรค การทำประมงโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงน้ำเค็มหรือประมงทะเลนั้นมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญและถือ เป็นต้นทุนหลักคือน้ำมันดีเซล และแรงงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหาปลา ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมัน ทุกชนิดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลชุดใหม่ประกาศว่าจะลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 2.20 บาทก็ตาม แต่ไม่มีหลักประกันใดที่จะรับรองว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายนี้ตลอดไป นโยบายดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ในอนาคตเมื่อรัฐบาลยกเลิกนโยบายจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามกลไกตลาดทันที แสดงว่ายังคงมีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นต่อไปอีกในอนาคต นอกจากนี้การที่รัฐบาลมี นโยบายจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและต้นทุนค่าแรงงานของ ผู้ประกอบการประมงอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับว่าผู้ประกอบการประมงต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองเรื่องในเวลาเกือบพร้อมๆ กัน ดังนั้นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจึงควรเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลหรือกาซชีวมวล ( Bio gas) เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบทางการเกษตร มากมายที่สามารถนำมาผลิตไบโอดีเซลและกาซชีวมวลได้ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลและผลิตสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เป็นต้น หากรัฐบาลให้ ความสำคัญและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่องจะช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดีเซลที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงผู้ประกอบการมีรายได้คงเหลือมากขึ้น สามารถรองรับผลกระทบจากการผันผวนหรือเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันได้ และเมื่อสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมส่งผลดีต่อสถานะ ทางการเงินของสหกรณ์ด้วยเช่นกัน ?xml:namespace>