|
|
 |
โดย...จีระศักดิ์ อุราสาย
สหกรณ์บริการจัดเป็นสหกรณ์ประเภทหนึ่งซึ่งดำเนินงานในหลากหลายรูปแบบตาม วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง เช่น การเดินรถโดยสาร รถแท็กซี่ การขนส่งสินค้าและบริการ การเคหสถานและชุมชน จากข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 สหกรณ์บริการในประเทศไทย ที่ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 691 สหกรณ์ โดยส่วนใหญ่ดำเนินงานด้านการให้ เงินกู้ การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย การรับฝากเงิน และการรวบรวมผลิตผลทางการเกษตร หากพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของสหกรณ์บริการเพื่อสะท้อนภาพหรือแสดงให้เห็นถึงฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพคล่องและความมั่นคงทางการเงิน รวมทั้งพิจารณาถึงโอกาสทางธุรกิจหรืออุปสรรคที่สหกรณ์บริการต้องเผชิญในปัจจุบันและอนาคตต่อไป ซึ่งผลการวิเคราะห์เป็น ดังนี้
สหกรณ์บริการจำนวนทั้งสิ้น 691 แห่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบันมีปริมาณธุรกิจโดยรวม 5,739ล้านบาท เฉลี่ย 9.3 ล้านบาทต่อแห่ง (ค่าสูงสุด 1,427 ล้านบาท ) สินทรัพย์รวมโดยรวม 8,142 ล้านบาท เฉลี่ย 11.8 ล้านบาท ต่อแห่ง (สูงสุด 1,828 ล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์หมุนเวียนเฉลี่ย 4.4 ล้านบาท (สูงสุด 347 ล้านบาท) เมื่อพิจารณาในด้านของทุนพบว่า ทุนดำเนินงานโดยรวมเท่ากับ 8,142 ล้านบาท เฉลี่ยเท่ากับ 11.8 ล้านบาทต่อแห่ง (สูงสุด 1,828 ล้านบาท) เฉพาะส่วนที่เป็นของสหกรณ์เองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.4 ล้านบาทต่อแห่ง (สูงสุด 631 ล้านบาท ต่ำสุด -23.3 ล้านบาท) ในจำนวนนี้เป็นทุนเรือนหุ้นชำระเต็มที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.4 ล้านบาทต่อแห่ง (สูงสุด 438 ล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 54.5 ของทุนสหกรณ์ทั้งหมด ในส่วนของแหล่งเงินทุนที่มาจากหนี้สินรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.8 ล้านบาทต่อแห่ง(สูงสุด 1,196 ล้านบาท) โดยเป็นหนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ยเท่ากับ 4.3 ล้านบาท ต่อแห่ง
(สูงสุด 1,200 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิเฉลี่ยเท่ากับ 0.3 ล้านบาทต่อแห่ง (สูงสุด 68 ล้านบาท ต่ำสุด - 2.9 ล้านบาท)
เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มจากปี 2549 2553 พบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของแหล่งเงินทุนภายในซึ่งประกอบไปด้วยเงินรับฝากจากสมาชิกและของทุนสหกรณ์เองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยของการเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 20.1 ในขณะที่แหล่งเงินทุนภายนอก ซึ่งประกอบไปด้วยเงินกู้ยืมและเครดิตการค้ารวมกับเงินรับฝากและหนี้สินอื่นมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 41.9 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของแหล่งเงินทุนภายใน เมื่อพิจารณาที่หนี้สินรวมของสหกรณ์บริการพบว่าในระหว่างปี 2549 2553 หนี้สินรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.3 ) โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินหมุนเวียนคิดเป็นร้อยละ 51.5 เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากจากสมาชิกและสหกรณ์อื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 30.6 อย่างไรก็ตามพบว่ากำไรสุทธิโดยเฉลี่ยของสหกรณ์บริการเท่ากับ 126.8 ล้านบาท ต่อปี หรือ 0.2 ล้านบาท ต่อแห่ง เมื่อคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิโดยเฉลี่ย 5 ปี เท่ากับร้อยละ 54 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดยส่วนใหญ่แล้วสหกรณ์บริการมีความสามารถในการสร้างรายได้และบริหารต้นทุนได้ค่อนข้างดีโดยพิจารณาจากอัตราการเพิ่มของต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 3.5 ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเฉลี่ยมาก
จากข้อมูลข้างต้นมีสิ่งที่น่าสนใจบางประการคือ สินทรัพย์หมุนเวียนเฉลี่ย( 4.4 ล้านบาท) มีจำนวนใกล้เคียงกับหนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย( 4.3 ล้านบาท) มาก แสดงให้เห็นว่ารายได้ที่เข้ามาส่วนใหญ่จะถูกนำไปชำระหนี้ระยะสั้น เมื่อพิจารณาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของสหกรณ์บริการพบว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ( 2549 2553 ) เท่ากับ 1.8 แสดงว่าหนี้สินรวมคิดเป็น 1.8 เท่าของทุนรวม และจากอัตราลูกหนี้ระยะสั้นที่ชำระได้ตามกำหนดมีค่าเฉลี่ย
ร้อยละ 77.21 เมื่อเทียบเคียงกับมาตรฐานทางการเงินของสหกรณ์แล้วพบว่าอยู่ในระดับพอใช้เท่านั้น ดังนั้นสหกรณ์บริการควรพิจารณาอย่างรอบคอบถ้าจะมีการก่อหนี้เพิ่ม สิ่งที่สำคัญคือต้องพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของสหกรณ์เองเป็นหลัก เพื่อให้สหกรณ์มีสภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับที่ปลอดภัย นอกจากนี้สหกรณ์บริการควรจะลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกลงหันมาพึ่งแหล่งเงินทุนจากภายในให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงินและลดความเสี่ยงในการดำเนินกิจการ
โอกาสและอุปสรรคของสหกรณ์บริการ
โอกาส
ปัจจุบันสหกรณ์บริการมีการดำเนินงานที่หลากหลายรูปแบบและค่อนข้างครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศในระดับหนึ่ง เพียงแต่การดำเนินธุรกิจในระบบเศรษฐกิจเสรีย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสหกรณ์และบริษัทเอกชนทั่วไปจะพบว่าโอกาสที่สหกรณ์บริการจะเติบโตต่อไปในอนาคตนั้นยังคงมีอยู่แต่ต้องใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสโดยปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ สิ่งที่สามารถทำได้ทันทีคือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการหรือระบบงานที่ล้าสมัยจะต้องถูกกำจัดให้หมดไปจากสหกรณ์ ในปัจจุบันกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้พัฒนาโปรแกรมระบบบัญชีที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้สหกรณ์บริการนำไปใช้งานโดยไม่คิดมูลค่า โปรแกรมดังกล่าวจะช่วยสร้างระบบงานที่ได้มาตรฐานตามหลักสากลให้กับสหกรณ์ ส่งผลให้ข้อมูลมีความโปร่งใส ถูกต้อง และทันต่อเหตุการณ์ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับองค์กรยิ่งขึ้นส่งผลให้สหกรณ์บริการมีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่สหกรณ์บริการจะดำเนินงานในเชิงรุกด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นว่าการเป็นสมาชิกสหกรณ์บริการนั้นดีอย่างไร เช่น การเป็นสมาชิกสหกรณ์บริการจะได้รับสิทธิประโยชน์ในส่วนลดราคาสินค้าหรือบริการซึ่งจะช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มเงินออมแก่สมาชิกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสมาชิกสามารถซื้อสินค้าและบริการหลายๆอย่างจากสหกรณ์ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดโดยเฉพาะร้านคอนวีเนียนสโตร์ เช่น ร้าน 7 11 ร้าน Family Mart เป็นต้น และเมื่อครบรอบปีสมาชิกจะได้รับปันผลกลับคืน ในขณะที่การซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าดังกล่าวจะไม่ได้รับปันผลกลับคืนแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้นหากสมาชิกมีความประสงค์จะกู้เงินจากสหกรณ์ไปซื้อรถโดยสารหรือรถแท็กซี่เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ หรือกู้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ปรับปรุง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยก็สามารถทำได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสถาบันการเงินอื่นๆ ที่สำคัญยังต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบอีกด้วย เมื่อถึงสิ้นปีสมาชิกจะได้ปันผลเงินเฉลี่ยคืนตามส่วนธุรกิจที่สมาชิกทำกับสหกรณ์ จึงนับได้ว่าสหกรณ์บริการมีส่วนสำคัญในการขยายโอกาส เพิ่มรายได้ของสมาชิกอย่างมีนัยสำคัญส่งผลให้สมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
อุปสรรคหรือข้อจำกัด
สหกรณ์บริการมีคู่แข่งขันที่สำคัญในตลาดคือบริษัทเอกชนหรือองค์กรที่ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันและมีความได้เปรียบหลายด้านโดยเฉพาะวงการค้าปลีกซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมาก ผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ล้วนแต่มีความพร้อมในทุกด้านทั้งในด้านเงินทุน ความรู้ ความสามารถของผู้บริหาร และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ระดับหนึ่งในสหกรณ์บริการแต่ยังไม่เพียงพอที่จะแข่งขันกับบริษัทเอกชนได้อย่างทัดเทียมหรือใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ด้วยจำนวนสาขาของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Big C , Lotus ซึ่งมีสาขาจำนวนมากทำให้มีอำนาจในการต่อรองราคาสินค้าจากผู้ผลิต ( Supplier) ได้ดีกว่าจึงขายสินค้าและบริการหลายๆ อย่างได้ในราคาต่ำกว่าและดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้มากกว่าสหกรณ์บริการ
นอกจากสหกรณ์บริการที่จัดหาสินค้ามาจำหน่ายแก่สมาชิกจะต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงแล้วสหกรณ์บริการที่ประกอบการรถโดยสารหรือรถแท็กซี่และสหกรณ์เคหสถานก็อยู่ในภาวะที่เผชิญความท้าทายอย่างสูงเช่นเดียวกัน โดยสหกรณ์บริการที่ประกอบการรถโดยสารหรือรถแท็กซี่ต้องเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตลอดเวลา ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกประเภทก๊าซแล้วก็ตามเนื่องจากจำนวนสถานีบริการก๊าซยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ในขณะที่สหกรณ์เคหสถานและชุมชนต้องแข่งขันกับธุรกิจเอกชนหรือสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยร้อยละศูนย์ในสองปี จากวงเงินทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท ตามนโยบายของรัฐบาล
?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace> ?xml:namespace>?xml:namespace> ?xml:namespace> |
|
ข่าว/บทความยอดนิยม |
ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด |
ข่าว/บทความล่าสุด |
|
|
|
จำนวนคนอ่าน 10224 คน |
จำนวนคนโหวต 16 คน |
|
|
สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889 |
|
 |

|
 |
|
การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel |
|