จีระศักดิ์ อุราสาย
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจและภาคสหกรณ์ไทย ไตรมาสที่ 3 / 2554
ภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3/2554 ในไตรมาสนี้ ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี พอสมควร เนื่องจากการส่งออก การบริโภค และการลงทุนภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 21.1 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้การลงทุนสะสมระหว่างเดือน ม.ค. ก.ค. 2554 ขยายตัวร้อยละ 89.4 เมื่อเทียบกับ ม.ค. ก.ค. 2553 เฉพาะเดือน ก.ค. 2554 มีการลงทุนทั้งสิ้น 37,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 279.6 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ 0.7 อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยระหว่างเดือน ก.ค. ส.ค. 2554 เท่ากับร้อยละ 63.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วในขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หากพิจารณาภาวะเศรษฐกิจโดยแบ่งออกเป็นรายภาคพบว่าใน ภาคการเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ระหว่าง ม.ค. ก.ย. 2554 มีสัดส่วนร้อยละ 12.8 และ 7.5 ตามลำดับของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดของประเทศ จากมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในไตรมาสนี้เท่ากับ 241,781.5 ล้าน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47.2 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนทั้งจากราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญปรับตัวสูงขึ้น ดังรูป และความต้องการสินค้าเกษตรจากต่างประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ ข้าว ยางพารา ไก่เนื้อ กุ้ง และปาล์มน้ำมัน แต่ปัจจัยลบคือปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในบางจังหวัดของภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่างตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมาได้ขยายวงกว้างมากขึ้นจนครอบคลุมพื้นที่ภาคกลางเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรสาครตลอดจนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่ปลูกข้าว เช่น สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน จากข้อมูลของกลุ่มป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้สรุปสถานการณ์ความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 - 15 กันยายน 2554 พบว่ามีเกษตรกรได้รับผลกระทบจำนวน 504,613 ราย พื้นที่ปลูกข้าวเสียหาย 4.19 ล้านไร่ พืชไร่จำนวน 0.39 ล้านไร่ และพืชสวนจำนวน 0.23 ล้านไร่ ส่งผลให้เกษตรกรหลายรายไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทันทำให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหาย ประเมินว่าผลผลิตข้าวนาปรังรอบที่ 2 ต้องเสียหายประมาณ 500,000 ตันข้าวเปลือก หรือประมาณ 300,000 ตันข้าวสาร คิดเป็นร้อยละ 5 ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมดในปี 2554 ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตข้าวนาปีและนาปรังของประเทศจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ จากเดิมที่มีการคาดการณ์ไว้เท่ากับ 35.41 ล้านตัน
สำหรับพืชไร่ที่ได้รับความเสียหายส่วนมากจะเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนพืชสวนที่ได้รับความเสียหายส่วนมากจะเป็นกล้วยหอม กล้วยไข่ และกล้วยน้ำว้า ในด้านประมง ผลผลิตที่เสียหายส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำจืด เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดที่สำคัญของประเทศ จากรายงานความเสียหายด้านประมงในช่วงระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม -15 กันยายน 2554 เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน 51,057 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่คาดว่าจะได้รับความเสียหายประมาณ 55,412 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบ่อเลี้ยงปลาน้ำจืด ส่วนการเพาะเลี้ยงในลักษณะของกระชัง หรือบ่อซีเมนต์ ได้รับความเสียหายคิดเป็นพื้นที่ประมาณ 75,161 ตารางเมตร
นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้ประเมินความเสียหายของภาคเกษตรกรรม ณ วันที่ 15 ก.ย.2554 ว่ามีมูลค่าความเสียหายประมาณ 8,000 ล้านบาท มีผลให้อัตราการขยายตัวของ GDP ภาคการเกษตร (ณ ราคาปีปัจจุบัน) ในไตรมาสที่ 3/2554 ลดลงเหลือร้อยละ 11.1 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 13.7 หรืออัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 2.6 อย่างไรก็ตามความเสียหายมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากยังมีพื้นที่ที่อาจได้รับความเสียหายเพิ่มเติมและหลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่เป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายจากอุทกภัยส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4/2554 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการเกษตร เนื่องจากในช่วงไตรมาสดังกล่าวเป็นช่วงต้นฤดูการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะข้าวนาปี

ภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมบ่งชี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2554 ขยายตัวร้อยละ 6.96 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมสำคัญคือ อุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรม Hard Disk Drive ดัชนีผลผลิตรถยนต์ขยายตัวร้อยละ 15.48 เช่นเดียวกับการผลิตรถจักรยานยนต์ที่ยังคงขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกรจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม Hard Disk Drive ขยายตัวร้อยละ 17.31 ในทำนองเดียวกันกับดัชนีการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ขยายตัวร้อยละ 5.62 ตรงกันข้ามกับดัชนีผลผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่หดตัวร้อยละ 4.96 เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่ประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ จึงมีคำสั่งซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลง
ภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ในไตรมาสที่ 3 / 2554
การขยายตัวของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการขยายตัวของภาคสหกรณ์ไทย โดยผลทางตรงนั้นทำให้สหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจรวบรวมและแปรรูปสินค้าเกษตรมีการขยายตัวตามไปด้วย ส่วนผลทางอ้อมนั้นเกิดจากการที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินกับสหกรณ์ เช่น การฝากเงิน หรือการชำระหนี้เงินกู้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 พบว่า ภาคสหกรณ์ไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 10,893 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30 จากไตรมาสที่แล้ว โดยแบ่งเป็นสหกรณ์จำนวน 6,687 แห่ง และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 4,206 แห่ง ประกอบไปด้วยจำนวนสมาชิกรวมจำนวน 11.45 ล้านคน มีทุนดำเนินงานรวมของภาคสหกรณ์เท่ากับ 1.54 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.67 จากไตรมาสที่แล้ว และมีมูลค่าธุรกิจรวม 1.71 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.58 จากไตรมาสที่แล้ว โดยสหกรณ์ภาคการเกษตร/กลุ่มเกษตรกร มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดเท่ากับ 6.16 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 53.79) รองลงมาคือสหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวน 2.68 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 23.41) ตามลำดับ พิจารณาตามลักษณะการดำเนินธุรกิจและมูลค่าธุรกิจได้ดังนี้ สหกรณ์ภาคการเกษตร ณ 30 ก.ย. 2554 มูลค่าธุรกิจรวมของสหกรณ์ภาคการเกษตรเท่ากับ 2.86 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น การรวบรวมผลิตผลและการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรจำนวน 9.65 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 33.74 ) การให้เงินกู้จำนวน 6.18 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 21.61 ) การรับฝากเงิน 6.07 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 21.22) การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 5.23 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 18.28) และการให้บริการ/ส่งเสริมการเกษตร 1.35 พันล้านบาท (ร้อยละ 0.47) ตามลำดับในขณะที่
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร ณ 30 ก.ย. 2554 มีมูลค่าธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.41 ล้านล้านบาท โดยธุรกิจการให้เงินกู้มีมูลค่ามากที่สุดคิดเป็นยอดรวม 1.00 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 70.92) รองลงมาคือ การรับฝากเงิน 4.00 แสนล้านบาท (ร้อยละ 28.36) และอื่นๆ 1.17 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 0.83 ) ตามลำดับ กลุ่มเกษตรกร ณ 30 ก.ย. 2554 มีมูลค่าธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.064 หมื่นล้านบาท โดยมูลค่ามากที่สุดคือธุรกิจการรวบรวม/แปรรูปผลผลิต 7.73 พันล้านบาท (ร้อยละ 72.68) รองลงมาคือ การจัดหาสินค้าจำนวน 1,356 ล้านบาท (ร้อยละ 12.74) การให้เงินกู้ 1.32 พันล้านบาท (ร้อยละ 12.40) และการรับฝากเงิน 234 ล้านบาท (ร้อยละ 2.19) ตามลำดับ
จากการพิจารณาการดำเนินธุรกิจของภาคสหกรณ์พบว่า ธุรกิจการให้กู้ยืม (สินเชื่อ) มีมูลค่าธุรกิจสูงสุด รองลงมาคือ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจรวบรวมผลผลิต/แปรรูป และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตรตามลำดับ โดยสามารถจำแนกตามลักษณะการดำเนินธุรกิจ ณ 30 ก.ย. 2554 ได้ดังนี้
ธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) มีจำนวนเงินให้กู้รวมทั้งระบบภาคสหกรณ์ทั้งสิ้น 1.61 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.91 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมียอดการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.00 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.11 ของจำนวนเงินให้กู้รวมทั้งระบบ รองลงมาคือภาคการเกษตรจำนวน 6.18 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.84 และกลุ่มเกษตรกร 1,320 ล้านบาท ร้อยละ 0.08 ตามลำดับ ธุรกิจรับฝากเงิน จำนวนเงินรับฝากรวมทั้งระบบของภาคสหกรณ์มีทั้งสิ้น 4.61 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.96 ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งหมดจำนวน 1.71 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.65 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีเงินรับฝากมากที่สุดจำนวน 4.00 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.77 ในขณะที่ภาคการเกษตรมียอดเงินฝากจำนวน 6.07 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.16 ตามลำดับ ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ภาคสหกรณ์ไทยมียอดรวมของมูลค่าสินค้าที่จัดหามาจำหน่ายแก่สมาชิกเท่ากับ 6.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.46 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นการจำหน่ายให้แก่สหกรณ์ภาคการเกษตรมากที่สุดเท่ากับ 5.23 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85.74 ของยอดรวมทั้งสิ้น ธุรกิจรวบรวมผลิตผล / แปรรูป มูลค่ารวมของการรวบรวมผลิตผลและการแปรรูปเท่ากับ 9.88 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.96 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร มูลค่ารวมของธุรกิจนี้เท่ากับ 2.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.60 จากสิ้นไตรมาสที่แล้วและคิดเป็นร้อยละ 0.12 ของมูลค่าธุรกิจรวมของภาคสหกรณ์โดยสหกรณ์ภาคการเกษตรมีมูลค่าการให้บริการมากที่สุดเท่ากับ 1.36 พันล้านบาท ในขณะที่นอกภาคเกษตรมีมูลค่า 0.71 พันล้านบาท ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทย
ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 ภาคสหกรณ์ไทยมีปริมาณธุรกิจ 1.71 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาสที่ 2/2554 คิดเป็นร้อยละ 0.58 มีรายได้รวมเท่ากับ 2.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.10 จากสิ้นไตรมาสที่ผ่านมา ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 2.37 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.48 จากสิ้นไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิจำนวน 4.93 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.10 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.02 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้
สหกรณ์ภาคการเกษตร สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1.82 แสนล้านบาท มากที่สุดในภาคสหกรณ์โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.33 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว และคิดเป็นร้อยละ 63.41 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 1.78 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.92 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว และกำไรสุทธิรวม 4.00 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.98 จากสิ้นไตรมาสก่อน สหกรณ์นอกภาคการเกษตร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 8.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.20 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.21 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว มีค่าใช้จ่ายรวม 4.44 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.90 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.32 จากสิ้นไตรมาสก่อนและมีกำไรสุทธิรวม 4.43 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.55 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว กลุ่มเกษตรกร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 9.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.34 จากไตรมาสที่แล้ว มีค่าใช้จ่ายรวม 9.84 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.80 จากไตรมาสที่แล้วและมีกำไรสุทธิรวม 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.90 จากไตรมาสที่แล้ว
การวิเคราะห์มิติทางการเงินของภาคสหกรณ์ไทย พิจารณาจากมิติทางการเงินโดยใช้การวิเคราะห์แบบ CAMELS Analysis ซึ่งจะพิจารณาข้อมูลทางการเงินใน 5 มิติ รวมถึงผลกระทบของธุรกิจ ผลการวิเคราะห์พบว่าโดยส่วนใหญ่ภาคสหกรณ์มีความสามารถในการบริหารจัดการได้ค่อนข้างดีพอสมควรจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานซึ่งแสดงรายละเอียดในแต่ละมิติได้ดังนี้
ความพอเพียงของเงินทุนต่อความเสี่ยง (Capital strength) จากทุนดำเนินงานรวมของภาคสหกรณ์ที่มีจำนวน 1.54 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.54 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นทุนของสหกรณ์เองจำนวน 7.26 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.14 ของทุนดำเนินงานรวม และจากการกู้ยืมมาจำนวน 2.45 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.91 เมื่อจำแนกตามประเภทของสหกรณ์พบว่า สหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีทุนดำเนินงานรวมมากที่สุดจำนวน 1.31 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85.27 ของทุนดำเนินงานรวมภาคสหกรณ์ และสหกรณ์ภาคการเกษตรมีจำนวน 2.3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.73 ตามลำดับ คุณภาพสินทรัพย์ (Asset Quality) จากสินทรัพย์รวมของภาคสหกรณ์ทั้งสิ้น 1.50 ล้านล้านบาท ประกอบไปด้วยลูกหนี้เงินกู้(สินเชื่อ) มากที่สุดจำนวน 1.33 แสนล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 8.86 ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วยมูลหนี้ที่ไม่สามารถชำระตามกำหนดได้จำนวน 1.89 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.21 ของมูลหนี้ทั้งหมด รองลงมาคือเงินสดที่ฝากในธนาคารหรือสหกรณ์อื่นอีกจำนวน 2.85 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.90 ของสินทรัพย์รวม เมื่อพิจารณาในด้านต่อไปคือ ความสามารถในการบริหารจัดการ(Management Ability) ของภาคสหกรณ์ซึ่งมีการบริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก พบว่า สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวมจำนวน 1.71 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.58 จากสิ้นไตรมาสที่แล้ว และขยายตัวเพิ่มขึ้นแทบทุกด้านโดยเฉพาะการรวบรวมและแปรรูปผลผลิตเพิ่มขึ้น 1.70 เท่า จาก 1.71 แสนล้านบาทตอนสิ้นไตรมาส ที่แล้ว เป็น 4.64 แสนล้านบาท ตอนสิ้นไตรมาสนี้ และธุรกิจการรับฝากเงินเพิ่มขึ้นจาก 9.19 แสนล้านบาทตอนสิ้นไตรมาสที่แล้ว เป็น 9.81 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 6.74 ตามลำดับ
ความสามารถในการทำกำไร (Earning) ณ สิ้นไตรมาสนี้ กำไรสุทธิของภาคสหกรณ์ทั้งระบบมีจำนวน 4.99 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1 พันล้านบาท จากต้นไตรมาส คิดเป็นร้อยละ 2.25 สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างหนี้สินหมุนเวียนต่อสินทรัพย์หมุนเวียนพบว่าเท่ากับ 1.72 เท่า แสดงว่าหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 1.72 เท่า ซึ่งหนี้สินหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากของสมาชิกคิดเป็นร้อยละ 59.39 นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดพบว่ามีถึงร้อยละ 80.72 ของมูลหนี้ที่ถึงกำหนดชำระทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้หนี้สินหมุนเวียนจะมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนแต่ส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากจากสมาชิกซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่สมาชิกทุกคนจะถอนเงินฝากออกไปในครั้งเดียวพร้อมกันจำนวนมาก ประกอบกับสัดส่วนของจำนวนลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดมีมากกว่าสัดส่วนของลูกหนี้ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด ดังนั้น สภาพคล่องของภาคสหกรณ์ทั้งระบบยังมั่นคงปลอดภัยพอสมควรแต่ไม่ควรดำเนินกิจการด้วยความประมาทและระมัดระวังอยู่เสมอ ผลกระทบของธุรกิจ (Sensitivity) ปัจจุบันพบว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผลประกอบการธุรกิจของภาคสหกรณ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ เช่น การเพิ่มขึ้นของปัจจัยการผลิต ได้แก่ ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย และความเสียหายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือการระบาดของศัตรูพืช ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบเชิงลบที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นจึงควรลดผลกระทบด้วยการกำหนดแผนรองรับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าวให้รัดกุม ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงาน/การผลิต ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน เช่น การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางบัญชีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมทั้งการแสวงหาช่องทางเครือข่ายการตลาดเพิ่มเติมอยู่เสมอจะทำให้มีรายได้มากขึ้นส่งผลให้ภาคสหกรณ์มีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ที่มา : - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
- สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
- ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน www.boi.go.th
|