Sorry, your browser does not support JavaScript!
W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 
โดย ลดาสิริ อุดมธนะ
 
           จากการที่ประมงไทยเจอกับอุปสรรค ไม่ว่าปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรประมง ปัญหาจำนวนเรือประมง ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายทำลายทรัพยากร ปัญหาประมงพาณิชย์ ปัญหาประมงชายฝั่ง ปัญหาต้นทุนและแรงงานประมงมาโดยตลอด ส่วนปัญหาประมงไทยที่พบมาก ใน ปี 2554 จะอยู่ทางแถบจังหวัดในภาคใต้ และกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสหกรณ์ประมง เช่น ปัญหาการถ่ายเทของน้ำในแม่น้ำมีน้อย อันสืบเนื่องมาจากการเปิดประตูน้ำเป็นเวลาน้อย การเกิดความเปลี่ยนแปลงของวงจรชีวิตสัตว์น้ำ ปลาหลายชนิดสูญพันธุ์ไปและเกิดสภาพตื้นเขินและผักตบชวาในลำน้ำมีมาก ทำให้น้ำเน่าเหม็นในบางพื้นที่ อันเป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ กรณีของประมงพื้นบ้านริมฝั่งทะเลสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลา คือเรืออวนลากขนาดใหญ่ เรืออวนรุน และเรือคันไซปู การจับปลาวิธีนี้จะจับได้ปริมาณมาก สัตว์น้ำขนาดเล็กก็ถูกจับด้วย ดังนั้นจึงทำให้ปริมาณของสัตว์น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว และขาดโซ่วงจรการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำริมฝั่งทะเล ส่วนประมงปากอ่าวทะเลที่สัตว์น้ำลดลงมีสาเหตุจากการระบายของน้ำเช่นเดียวกันกับประมงลำน้ำ และป่าชายเลนอันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำถูกทำลายจำนวนมาก ปัญหาต่อมาคือปัญหามลพิษทางน้ำ ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากการใช้สารเคมีในการทำการเกษตรต่างๆ ทั้งการปลูกพืช และการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้ง(นากุ้ง) น้ำจากนากุ้ง และสารเคมีจากภาคอุตสาหกรรมส่งผลต่อการเกิดสภาพน้ำเสียในแหล่งน้ำ และสืบเนื่องจากการเปิดประตูน้ำมากจนเกินไปจนทำให้สัตว์น้ำในแม่น้ำ ลำคลองมีอาการน๊อคตาย เป็นต้น
        เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ประมงมีการดำเนินงานในการประกอบอาชีพด้านเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ตามลักษณะพื้นที่ เช่น สหกรณ์ประมงที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณพื้นที่แม่น้ำ ลำคลอง ที่เป็นน้ำจืด ได้แก่ แม่น้ำนครนายก แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำตาปี แม่น้ำระยอง แม่น้ำสุพรรณบุรี แม่น้ำเลย แม่น้ำกระบี่ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำมูล แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำกก แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน่าน บึงผลาญชัย คลองลำตะคอง ฯลฯ เกษตรกรจะประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาสลิด ปลาตะเพียนขาว ตะพาบน้ำ กุ้งก้ามกราม ปลาหมอ ปลาดุก ปลาช่อน กบ เป็นต้น สหกรณ์ประมงที่ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่ชายฝั่งที่เป็นน้ำเค็มแถบชายฝั่งและในทะเล อ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งกินพื้นที่จังหวัด ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง นครศรีธรรมราช กระบี่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พังงา ปัตตานี และสงขลา โดยเกษตรกรจะเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม และหาโดยวิธีธรรมชาติในทะเล เช่น ปลา กุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาขาว กุ้งกุลาดำ ปู ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม เป็นต้น สหกรณ์ประมงที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณพื้นที่น้ำกร่อย(ปลาสองน้ำ) ซึ่งเป็นสัตว์น้ำทะเลโดยธรรมชาติแต่สามารถอาศัยในน้ำจืดได้ โดยอาศัยชุกชุมอยู่ตามปากแม่น้ำ ลำคลอง แพร่กระจายอยู่ตามชายทะเลในอ่าวไทย เช่น แถบทะเลสาบสงขลาและทะเลน้อยในจังหวัดพัทลุง จะเพาะเลี้ยงทั้งปลาน้ำกร่อยและปลาน้ำจืด เช่น ปลากะพงขาว ปลากะพงแดง ปลาดุก ปลาสวาย ปลากด เป็นต้น อย่างไรก็ตามในการดำเนินธุรกิจสหกรณ์ประมง ได้รับการยกเว้นภาษีจากรัฐบาลมาโดยตลอด ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ ภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากการให้สมาชิกและสหกรณ์อื่นกู้ยืม ภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร และ ภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีขายสินค้าหรือบริการไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อปี
         จากผลการศึกษาวิเคราะห์การตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ประมงประจำปี 2554 ซึ่งรวบรวมข้อมูลแบบออนไลน์ได้ จำนวน 77 สหกรณ์ จากจำนวนสหกรณ์ประมงตามทะเบียน จำนวน 99 สหกรณ์ โดยรวบรวมจากสหกรณ์ที่มีปีที่ตรวจสอบบัญชีประจำปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2554 โดยทำการเก็บรวบรวมจนถึง วันที่ 30 กันยายน 2554 พบว่าสหกรณ์ประมงกระจายอยู่ตามภาคตะวันออกมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 26.00 รองลงมาเป็นภาคใต้ คิดเป็นร้อยละ 24.70 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 19.50 ภาคตะวันตกคิดเป็นร้อยละ 13.00 กรุงเทพฯและปริมณฑลคิดเป็นร้อยละ 9.10 ภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 5.20 และภาคกลาง คิดเป็นร้อยละ 2.60 ส่วนสมาชิกของสหกรณ์ประมงมีจำนวนทั้งสิ้น 14,439 คน โดยเป็นสมาชิกกับสหกรณ์ประมงที่กระจายอยู่ตามภาคใต้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 28.80 รองลงมาเป็นภาคตะวันออก คิดเป็นร้อยละ 20.80 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 20.30 ภาคตะวันตกคิดเป็นร้อยละ 15.30 กรุงเทพฯและปริมณฑลคิดเป็นร้อยละ 7.30 ภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 5.30 และภาคกลาง คิดเป็นร้อยละ 2.30 การประกอบธุรกิจของสหกรณ์ประมงในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2553 พบว่าการประกอบธุรกิจของสหกรณ์ประมง มีปริมาณธุรกิจที่คิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 739.64 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 0.043 เมื่อเทียบกับปริมาณธุรกิจโดยรวมของภาคสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรของประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินจากธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย เช่น อาหารสัตว์น้ำ น้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ มากที่สุดคือ 326.68 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.17รองลงมา คือการรวบรวมผลิตผล เช่น ปลา กุ้ง ปู หอย กบ ฯลฯ คิดเป็นมูลค่า 190.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.69 การให้เงินกู้ คิดเป็นมูลค่า 113.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.33 การให้บริการและส่งเสริมการเกษตร คิดเป็นมูลค่า 75.90 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.26 การรับฝากเงิน คิดเป็นมูลค่า 33.31 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.50 และการแปรรูปผลิตผล ได้แก่ ปลาหมึกลอก เนื้อปลาแล่ ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ปูดอง หอยดอง ลูกชิ้น หอยจ้อ ปูอัด ปลาสวรรค์ ฯลฯ คิดเป็นมูลค่า 0.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.05 และสหกรณ์ประมงภาคตะวันตก มีปริมาณธุรกิจรวมทุกประเภทสูงที่สุด โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 654.34 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 626.09 ล้านบาท ส่งผลให้สหกรณ์ประมงมีกำไรสุทธิประจำปีโดยรวมจำนวน 28.25 ล้านบาท
             ภายใต้ทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 643.63 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.042 เมื่อเทียบกับปริมาณธุรกิจโดยรวมของภาคสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรของประเทศไทย โดยเป็นส่วนของหนี้สินทั้งสิ้น 590.68 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 91.77 ของทุนดำเนินงาน และในส่วนของทุนของสหกรณ์ทั้งหมด 52.95 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 8.23 ของทุนดำเนินงาน ภายใต้ทุนดำเนินงานทั้งหมด เป็นแหล่งเงินทุนภายใน 328.57 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 51.05 ของทุนดำเนินงาน และเป็นส่วนของแหล่งเงินทุนภายนอก 315.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.95 ของทุนดำเนินงาน
            สหกรณ์ได้บริหารเงินทุนดำเนินงานโดยใช้ไปในรูปของลูกหนี้มากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 423.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 65.72 รองลงมา คือ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ คิดเป็นมูลค่า 280.50 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.98 สินทรัพย์ไม่มีตัวตน คิดเป็นมูลค่า 239.93 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.28 เงินสดและเงินฝาก คิดเป็นมูลค่า 112.21 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.44 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ คิดเป็นมูลค่า 108.87 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.91 อื่นๆ คิดเป็นมูลค่า 28.67 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.46 สินค้าคงเหลือ คิดเป็นมูลค่า 6.28 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.98 และ หลักทรัพย์และตราสาร คิดเป็นมูลค่า 5.15 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.80
            เป็นที่น่าสังเกตว่าทิศทางการเงินสหกรณ์ประมงในปี 2555-2559 อาจจะเปลี่ยนไปมากหากไม่มีการควบคุมทางการเงินและผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสหกรณ์ประมงอย่างเหมาะสม โดยจากผลพยากรณ์พบว่า ลูกหนี้ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เงินสดและเงินฝาก มีแนวโน้มอาจจะเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หลักทรัพย์และตราสาร ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สินค้าคงเหลือ และอื่นๆ ในอีก 5 ปี ข้างหน้า พบว่ามีแนวโน้มอาจจะชะลอตัวเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าในอนาคตสหกรณ์ประมงจะมีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการเป็นเจ้าของธุรกิจสหกรณ์ที่จะต้องมีที่ดิน อาคาร เป็นของตัวเองเป็นการเช่าพื้นที่ในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะมีอัตราการเติบโตของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากผลจากการถือใช้นโยบายการทางการเงินแก่เกษตรกรของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ลูกหนี้มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น หากไม่สามารถตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่สูงขึ้นให้ตามกันอยู่ได้ จึงน่าเป็นห่วงกับสหกรณ์ประมงในอนาคต
 
      ในปี 2554 ระดับการเฝ้าระวังทางการเงินของสหกรณ์ประมง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับการเฝ้าระวังมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 36.36 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมด และระดับขนาดของสหกรณ์ประมง ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับขนาดกลาง คิดเป็นร้อยละ 42.86 ของสหกรณ์ประมงทั้งหมด
 
โดยจากการพิจารณา แนวโน้มอัตราส่วนทุนสำรองต่อสินทรัพย์ ในช่วงปี 2550 - 2554 พบว่า คงที่ทุกปี
อัตราลูกหนี้ที่ชำระได้ตามกำหนด มีแนวโน้มค่อยๆเพิ่มขึ้นใน 5 ปี ที่ผ่านมา ส่วนอัตราค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อกำไร (ก่อนหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน) ลดลงโดยตลอ
 
โดยผลกระทบเกี่ยวเนื่องทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ส่งผลต่อธุรกิจของสหกรณ์ประมงได้แก่ การขาดแคลนเงินทุนในการประกอบอาชีพทางการประมง ขาดเทคนิคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ต้องซื้อวัสดุอุปกรณ์ประมงที่มีราคาสูงมาก ขาดความรู้ในด้านการจัดการ การปิด-เปิดประตูน้ำของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางน้ำที่เกิดจากวาตภัยหรือพายุ มลพิษทางน้ำที่เกิดจากกระแสน้ำเนื่องจากฝั่งทะเลอ่าวไทยที่มีกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ผลกระทบจากฝั่งทะเลอันดามันกระแสน้ำจะไหลแรง น้ำป่าไหลหลาก ภาวะน้ำเปรี้ยวที่เกิดจากการปล่อยน้ำจากการทำการเกษตร การใช้เรืออวนลากและเรืออวนรุนแถบที่ขาดการควบคุมจนทำให้ตัวอ่อนของสัตว์น้ำตาย ผลกระทบจากอวนรุนที่ขาดการควบคุมจนทำให้ปะการังซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำตัวอ่อนถูกทำลาย อาจจะได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัส และ เชื้อแบคทีเรียในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ผลกระทบจากนโยบายภาครัฐด้านโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการประมงไม่มีการปรับปรุงมาเป็นเวลานาน ฯลฯ จนทำให้บางสหกรณ์ประมงยังประสบปัญหาการขาดทุน จนในที่สุดอาจขาดความยั่งยืนของอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำลงได้
         ดังนั้นในอีก 5 ปี ข้างหน้า จึงควรเพิ่มการอบรมเกษตรกรด้านการจัดการธุรกิจแบบครบวงจร และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างเหมาะสม เช่น ส่งเสริมให้เกษตรกรแถบริมคลองหันมาเลี้ยงปลาพื้นบ้านในกระชังแบบธรรมชาติเสริมด้วยอาหาร ในช่วงที่มีปริมาณน้ำคงที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลา เพื่อสร้างรายได้เสริมก่อนฤดูน้ำหลาก โดยเน้นเลี้ยงสัตว์น้ำที่สามารถจับขายได้เร็ว เป็นที่ต้องการของตลาดและเป็นสัตว์น้ำประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน เป็นต้น พัฒนาระบบตลาดที่ยุติธรรม และนอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงนโยบายด้านประมงและด้านอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น เพิ่มการปลูกป่าชายเลนเพื่อรักษาระบบนิเวศและลดการกัดเซาะชายฝั่ง เพิ่มการใส่จุลินทรีย์ อี เอ็ม ลงในแม่น้ำ ลำคลอง เป็นระยะๆ การปลูกหญ้าแฝก เป็นต้น ควบคุมการใช้อวนรุนในการจับสัตว์น้ำเพื่ออนุรักษ์ตัวอ่อนให้มีได้ตลอดไป ควบคุมการปิด-เปิดประตูระบายน้ำของเจ้าหน้าที่อย่างสอดคล้องกับการเลี้ยงดูสัตว์น้ำของเกษตรกร ควรส่งเสริมการใช้กระชังแบบถุงพลาสติกที่สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์น้ำได้กรณีเจอกับสภาพน้ำเปรี้ยว กระแสน้ำขึ้นน้ำลง และควรควบคุมจำนวนเรือประมงและทำการลดจำนวนเรือประมงให้จำนวนเหมาะสมกับพื้นที่น่านน้ำ ควรปรับปรุงระบบการเตือนภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันแบบครบวงจร
          นอกจากนี้ ควรมีการวางแผนการถือใช้นโยบายทางการเงินของรัฐบาลแก่เกษตรกรอย่างเหมาะสม ส่วนสหกรณ์ประมงเองควรดำเนินงานอย่างมีกลยุทธ์ทางธุรกิจและต่อสมาชิก ในการ ยกระดับฐานะความเป็นอยู่ให้แก่สมาชิก เช่น ควรให้ความช่วยเหลือสมาชิกในด้านการเงินด้วยการให้มีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และควรดึงดูดให้สมาชิกของสหกรณ์หันมาเก็บเงินกับสหกรณ์เพิ่มมากขึ้นด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทน อย่างไรก็ตามควรแผนการตลาดและแผนการบริหารจัดการที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการล้มละลายของธุรกิจและสามารถจะประคองธุรกิจสหกรณ์ประมงได้อย่างต่อเนื่องโดยการมีแผนกลยุทธ์ของสหกรณ์ ควรมีการพิจารณาการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานโดยเฉพาะในส่วนที่พอจะควบคุมได้ก่อน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างพนักงาน เป็นต้น ควรลดต้นทุนสหกรณ์ด้วยการว่าจ้างจำนวนบุคลากรเหมาะสมกับขนาดของธุรกิจ ควรลดต้นทุน(Cost reduction) ในการจัดซื้อสินค้ามาจำหน่ายในสหกรณ์ประมง เช่น อาหารสัตว์ น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น เป็นต้น ด้วยการรวมกันซื้อคราวละมากๆ ควรปรับปรุงการควบคุมสินค้าคงคลังหรือสต๊อกสินค้าโดยการใช้เทคโนโลยีควบคุมเพื่อไม่ให้สินค้าค้างสต๊อกมากเกินไปแต่ก็ควรวางแผนในบางสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยการกักตุนสินค้าไว้บางส่วนเพื่อป้องกันสินค้าขาดมือที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ควรปรับปรุงคุณภาพสินค้าที่นำมาจำหน่ายที่จะไม่หมดอายุอย่างรวดเร็วและไม่มีสิ่งปนเปื้อนโดยเฉพาะจากเชื้อโรค ควรพิจารณาบางเรื่องว่าควรทำเองหรือให้หน่วยงานภายนอกเป็นผู้ดำเนินการ ควรการสร้างความแตกต่าง ( Differentiation)ในตัวสินค้าที่นำมาจำหน่ายเพื่อลดปัญหาคู่แข่งทางธุรกิจ และควรให้การบริการลูกค้าที่รวดเร็ว ( Quick response) อยู่เสมอ
 
ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สหกรณ์ไทย ...คืนกำไรสู่สมาชิก 80.52 %
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 10643 คน จำนวนคนโหวต 13 คน

  จำนวนคนโหวต 13 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
0%
  ให้ 2 คะแนน
0%
  ให้ 3 คะแนน
 
8%
  ให้ 4 คะแนน
 
8%
  ให้ 5 คะแนน
 
85%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel