Sorry, your browser does not support JavaScript!
W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 

เพยาว์ กิมปฐม

ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2555
              
               เศรษฐกิจโลก ปี 2555 ทั่วโลกประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหนักหนาสาหัสสร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ปีนี้เป็นปีที่มีสีสัน มีหลายจุดหลายช่วงในปีนี้ที่ระบบการเงินโลกเข้าสู่ห้วงคับขัน ปี 2555 เป็นปีที่คับขันอย่างยิ่งสำหรับยุโรป โดยต้นปีภาคสถาบันการเงินยุโรปยังคงขาดสภาพคล่องในบางส่วน แต่เนื่องจากธนาคารกลางยอมอัดฉีดเงินก้อนใหญ่เข้ามาช่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรหรือยูโรโซนจึงสามารถผ่านมาได้ มรสุมการเงินในยุโรปยังคงเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 
               ฝั่งภูมิภาคเอเชียยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องซึ่งแตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆ ที่กำลังเผชิญมรสุมทางเศรษฐกิจตลาดที่พัฒนาแล้วหลายแห่งสั่นคลอน เนื่องจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่สามารถเติบโตได้ แต่ก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน ไม่ว่าจะจีน หรืออินเดีย 2 ยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เพราะฉะนั้น นอกจากความเสี่ยงที่ยูโรโซนจะล่มสลาย ภาวะชะลอตัวในประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีน ก็เป็นอีกสถานการณ์ที่น่ากังวล สาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนแผ่วลง มาจากกระแสเงินที่ติดขัดในยุโรปและสหรัฐ จนทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกจากจีนลดลง ตลอดจนมาตรการชะลอความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้จีดีพีของจีนในไตรมาส 3 ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 7-4 ต่ำสุดนับจากไตรมาสแรกของปี2552 จากพิษวิกฤตการเงินโลก อย่างไรก็ตามคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2555
               ทั้งยูโรโซน สหรัฐและจีน ถือเป็น 3 เสาหลักของเศรษฐกิจโลก ที่ยังอยู่ในความเสี่ยงสถานการณ์ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในปีใหม่แม้ตลาดเงินเริ่มขยับขึ้นได้บ้างในปี2555ด้วยความช่วยเหลือ จากบรรดาธนาคารกลางและขณะนี้มุ่งหน้าสู่ปี 2556 ด้วยความหวังว่าจะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีน และสหรัฐ
               ย้อนหลังดูภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2555 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูประเทศ หลังจากพื้นที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของไทยประสบปัญหาอย่างหนักจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี ในช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจไทยกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ จากการใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟู และลงทุนใหม่ของภาคเอกชน รวมถึงการซ่อมแซมบ้านเรือน ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่เสียหายจากน้ำท่วมของภาคประชาชน ขณะที่การส่งออกและภาคการผลิตซึ่งชะลอตัวอย่างรุนแรงจากภาวะน้ำท่วมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก หลังฟื้นตัวจากเหตุการณ์น้ำท่วมมาตั้งแต่ต้นปี 2555 เศรษฐกิจไทยทำท่าว่าจะพลิกตัวกลับมาอยู่ในภาวะปกติได้ แต่ยังไม่วายต้องผจญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่ฉุดอัตราการเติบโตให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออกที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศอย่างมั่นใจว่าต้องพุ่งกระฉูดถึง 15% แต่สุดท้ายตัวเลขที่ว่ากลายเป็นเหมือนน้ำฝนหล่นจากฟ้า เพราะตกรุดลงมาแต่อยู่ที่ประมาณ 4% เศษเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวันใน 7 จังหวัดนำร่องในเดือน เม.ย. ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23%จาก30% และขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ช่วยพยุงเศรษฐกิจและทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น
               ภาคการผลิตของไทยกลับมาฟื้นตัวเต็มที่และผลิตได้เต็มกำลังอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 โดยธุรกิจที่เป็นพลังในการขยายตัวของเศรษฐกิจมากที่สุด คือ ภาคยานยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพราะน้ำท่วมที่ผ่านมาทำให้ค่ายรถยนต์ที่มีการสั่งจองไว้ให้กับลูกค้าไม่ได้และต้องมาเร่งผลิตทดแทนในช่วงหลังน้ำท่วม เมื่อบวกกับแรงกระตุ้นชั้นดีจากภาครัฐบาลกับโครงการคืนภาษีสูงสุด 100000 บาทสำหรับรถยนต์คนแรก ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ 11 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 64% และถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 50 ปี
               อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยซึ่งเคยเป็นพระเอก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน กลับได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะการค้าโลกที่ชะลอตัวลงมาก ผลจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวและการว่างงานอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ วิกฤติหนี้สาธารณะในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งลุกลามสู่ภาวะวิกฤติและการถดถอยของเศรษฐกิจทั้งกลุ่มยูโรโซน โดยผลกระทบเหล่านี้ นอกจากระทบเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังกระทบต่อเศรษฐกิจเพื่อนบ้านในอาเซียนและเศรษฐกิจพี่ใหญ่อย่างจีนให้ชะลอลงตามด้วย นอกจากนั้น ราคาข้าวของไทยในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากมาตรการรับจำนำของรัฐบาล ทำให้การขายข้าวของไทยในปีที่ผ่านมาทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้การส่งออกของไทยในปี 2555 นี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 4% จากยอดเติบโต 17 % ในปี 2554
               แต่แม้ว่าจะมีปัจจัยลบ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังขยายตัวได้ดี โดยสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับ 5.6% ขณะที่ตัวเลขประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อยู่ที่ 5.8% ส่วนศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเศรษฐกิจกไทยไว้ที่ 5.4%              

ภาวะเศรษฐกิจของภาคสหกรณ์ไทยปี 2555
               จากการขยายตัวของภาคการเกษตรส่งผลให้ภาคสหกรณ์มีการขยายตัวตามไปด้วย ข้อมูล ณ วันที่ 31ธันวาคม 2555 ภาคสหกรณ์ไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 10,631 แห่ง แบ่งเป็นสหกรณ์จำนวน 6,538 แห่ง และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 4,093 แห่ง ประกอบไปด้วยจำนวนสมาชิกรวม 11.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.9 ของประชากรทั้งประเทศ มีทุนดำเนินงานรวมของภาคสหกรณ์เท่ากับ 1.8 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าธุรกิจรวม 1.9 ล้านล้านบาท และคิดเป็นร้อยละ 16.4 ของ GDP โดย สหกรณ์ภาคการเกษตรมีจำนวนสมาชิกมากที่สุดเท่ากับ 6.5 ล้านคน (ร้อยละ 56.4 ) มีมูลค่าธุรกิจโดยรวมกว่า 3 แสนล้านบาท โดยแบ่งตามลักษณะการดำเนินธุรกิจและมูลค่าธุรกิจได้ดังนี้ การรวบรวมผลิตผลและการแปรรูปผลิตผลทางการ เกษตรจำนวน 1.2 แสนล้านบาท (ร้อยละ 38.6) การให้เงินกู้จำนวน 7 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 21.5) การรับฝากเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 20.8) การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 6.1 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 18.9) และการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร 564 ล้านบาท (ร้อยละ 0.2) ตามลำดับ สำหรับสหกรณ์ภาคนอกการเกษตร มีจำนวนสมาชิก 4.4 ล้านคน มีมูลค่าธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.5 ล้านล้านบาท โดยมุ่งเน้นธุรกิจการให้เงินกู้ซึ่งคิดเป็นยอดรวม 1.1 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 71.6) รองลงมาคือ การรับฝากเงิน 4.2 แสนล้านบาท (ร้อยละ 27.4) และอื่นๆ 1.5 หมื่นล้านบาท (ร้อยละ 1) ตามลำดับ ส่วนกลุ่มเกษตรกร มีจำนวนสมาชิก5.9 แสนคน มีมูลค่าธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยมุ่งเน้นธุรกิจการรวบรวมผลิตผลและการแปรรูปผลิตผลคิดเป็นยอดรวม 9.7 พันล้านบาท (ร้อยละ 68.6) 
               การดำเนินธุรกิจของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจการให้กู้ยืม (สินเชื่อ) มีมูลค่าธุรกิจสูงสุด รองลงมาคือ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจรวบรวมผลผลิต /แปรรูป ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตรตามลำดับ โดยมีรายละเอียดรายธุรกิจดังนี้
               ธุรกิจรับฝากเงิน จำนวนเงินรับฝากรวมทั้งระบบของภาคสหกรณ์มีทั้งสิ้น 4.9 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.1 ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งหมดจำนวน 1.8 ล้านล้านบาท โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีเงินรับฝากมากที่สุดจำนวน 4.2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.1 ของยอดเงินฝากทั้งหมด ในขณะที่ภาคการเกษตรมียอดเงินฝากจำนวน 6.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.8 และกลุ่มเกษตรกรจำนวน 334 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.07 ตามลำดับ ธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) จำนวนเงินให้กู้รวมทั้งระบบภาคสหกรณ์มีทั้งสิ้น 1.2 ล้านล้านบาท โดยสหกรณ์ภาคนอกการเกษตรมียอดการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 93.9 รองลงมาคือสหกรณ์ภาคการเกษตรจำนวน 7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.9 และกลุ่มเกษตรกรจำนวน 1.6 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ภาคสหกรณ์ไทยมียอดรวมของมูลค่าสินค้าที่จัดหามาจำหน่ายแก่สมาชิกเท่ากับ 7.3 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้จำหน่ายให้แก่สหกรณ์ภาคการเกษตรมากที่สุดเท่ากับ 6.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.3 ธุรกิจรวบรวมผลิตผล / แปรรูป มูลค่ารวมของการรวบรวมผลิตผลและการแปรรูปเท่ากับ 1.4 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้จำหน่ายให้แก่สหกรณ์ภาคการเกษตรมากที่สุดเช่นกันเท่ากับ 1.3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 89.4 ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร มูลค่ารวมของธุรกิจนี้เท่ากับ 1.5 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.08 ของมูลค่าธุรกิจรวมของภาคสหกรณ์ โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีมูลค่าธุรกิจการให้บริการมากที่สุดเท่ากับ 896 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.1 ในขณะที่ภาคเกษตรมีมูลค่า 564 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.8

               ผลการดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
               ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ภาคสหกรณ์ไทยมีรายได้รวมเท่ากับ 3.2 แสนล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 2.7 แสนล้านบาท เหลือเป็นกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 5.5 หมื่นล้านบาท โดยมีรายละเอียดซึ่งจำแนกดังนี้ 
               สหกรณ์ภาคการเกษตร สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท มากที่สุดในภาคสหกรณ์ มีค่าใช้จ่ายรวม 2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.7 ของรายได้รวมทั้งสิ้น และมีกำไรสุทธิรวม 4,836 ล้านบาท สมาชิกสหกรณ์ภาคการเกษตรมีเงินออมเฉลี่ยตกคนละ 13,430 บาทต่อคน หนี้สินเฉลี่ย ตกคนละ 17,587 บาทต่อคน โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.31 เท่าของเงินออมเฉลี่ย สหกรณ์นอกภาคการเกษตร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับสองรองจากสหกรณ์ภาคการเกษตร มีค่าใช้จ่ายรวม 5.2 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 5 หมื่นล้านบาท มากเป็นอันดับสองเช่นเดียวกัน สมาชิกมีเงินออมเฉลี่ยตกคนละ 248,479 บาทต่อคน มีหนี้สินเฉลี่ยตกคนละ 272,910 บาท ต่อคน โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.09 เท่าของเงินออมเฉลี่ย ซึ่งนับว่าน้อยกว่าอัตราส่วนของสมาชิกในภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 13,032 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 12,897 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 135 ล้านบาท สมาชิกมีเงินออมเฉลี่ยตกคนละ 1,213 บาทต่อคน มีหนี้สินเฉลี่ย 3,165 บาทต่อคน โดยมีหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 2.6 เท่าของเงินออมเฉลี่ย
               
               การวิเคราะห์เชิงมิติทางการเงินของภาคสหกรณ์ไทย
                 การวิเคราะห์โดยพิจารณาจากมิติทางการเงิน 5 มิติ รวมถึงผลกระทบของธุรกิจจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เรียกว่าเป็นการวิเคราะห์แบบ CAMELS analysis ผลการวิเคราะห์พบว่าโดยส่วนใหญ่ภาคสหกรณ์มีความสามารถในการบริหารจัดการได้ดีพอสมควรจะเห็นได้จาก ความพอเพียงของเงินทุนต่อความเสี่ยง(Capital strength) จากทุนดำเนินงานของภาคสหกรณ์ที่มีจำนวน 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 จากปีที่แล้ว โดยเป็นทุนของสหกรณ์เองจำนวน 8.1 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.5 และจากการกู้ยืมมาจำนวน 3.7 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 เมื่อจำแนกตามประเภทของสหกรณ์พบว่า สหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีทุนดำเนินงานรวมมากที่สุดจำนวน 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 89.7 รองลงมาคือภาคการเกษตรจำนวน 1.8 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.1 คุณภาพสินทรัพย์ (Asset Quality)จากสินทรัพย์รวมของภาคสหกรณ์ทั้งสิ้น 1.8 ล้านล้านบาท ประกอบไปด้วยลูกหนี้สินเชื่อมากที่สุดจำนวน 1.4 ล้านล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 77.7 ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วยมูลหนี้ที่ไม่สามารถชำระตามกำหนดได้จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของมูลหนี้ทั้งหมด รองลงมาคือเงินสดที่ฝากในธนาคารหรือสหกรณ์อื่นอีกจำนวน 1.3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.4 ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาในด้านต่อไปคือ ความสามารถในการบริหารจัดการ (Management Ability) ของภาคสหกรณ์ซึ่งมีการบริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก พบว่า สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวมจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท โดยมีมูลค่าธุรกิจคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการให้เงินกู้ยืมมากสุด รองลงมา คือการรับฝากเงิน และธุรกิจรวบรวมผลผลิต ตามลำดับ ความสามารถในการทำกำไร (Earning) จากกำไรสุทธิทั้งสิ้นของภาคสหกรณ์ทั้งระบบจำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 17.1 ของรายได้ทั้งสิ้น และคิดเป็นร้อยละ 20.6 ของรายจ่ายทั้งสิ้น ประกอบกับผลการจัดเสถียรภาพทางการเงินตามหลักการวิเคราะห์แบบ CAMELS analysis พบว่าภาคสหกรณ์ส่วนใหญ่ร้อยละ 37.6 อยู่ในระดับมั่นคงตามมาตรฐาน รองลงมาคือมั่นคงดี-ดีมาก ร้อยละ 19.1 และต่ำกว่ามาตรฐานร้อยละ 25.8 สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างหนี้สินหมุนเวียนต่อสินทรัพย์หมุนเวียนซึ่งเท่ากับ 1.8 เท่า แสดงว่าหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 1.8 เท่า หนี้สินหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากของสมาชิกคิดเป็นร้อยละ 58.3 นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดพบว่ามีถึงร้อยละ 82.4 ของมูลหนี้ที่ถึงกำหนดชำระทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้หนี้สินหมุนเวียนจะมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนแต่ส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากจากสมาชิกซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่สมาชิกทุกคนจะถอนเงินฝากออกไปในครั้งเดียวพร้อมกันจำนวนมาก ประกอบกับสัดส่วนของจำนวนลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดมีมากกว่าสัดส่วนของลูกหนี้ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด ดังนั้นสภาพคล่องของภาคสหกรณ์ทั้งระบบจึงอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างปลอดภัยแต่ไม่ควรประมาทและต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ ผลกระทบของธุรกิจ (Sensitivity) จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจหลายด้าน เช่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความเสียหายของผลผลิตอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือการระบาดของศัตรูพืช สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความสามารถในการสร้างรายได้และทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้นภาคสหกรณ์ควรลดผลกระทบดังกล่าวด้วยการกำหนดแผนรองรับความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกปัญหาที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนแก่สหกรณ์ต่อไป

**************************
แหล่งที่มา : กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
                 กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ www.cad.go.th 
                * ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
                ** ข่าวต่างประเทศ/ข่าวเศรษฐกิจ นสพ.เดลินิวส์
                *** ธนาคารแห่งประเทศไทย www.bot.go.th
ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สหกรณ์ไทย ...คืนกำไรสู่สมาชิก 80.52 %
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 7711 คน จำนวนคนโหวต 5 คน

  จำนวนคนโหวต 5 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
0%
  ให้ 2 คะแนน
0%
  ให้ 3 คะแนน
 
20%
  ให้ 4 คะแนน
 
20%
  ให้ 5 คะแนน
 
60%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel