Sorry, your browser does not support JavaScript!
W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 
 
เพยาว์ กิมปฐม
          "เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาส 3 ขยายตัว 0.79% ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ธุรกิจโดยรวม 1.98 ล้านล้านบาท สร้างรายได้และทำกำไรทั่วประเทศกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท ภาคครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่าย มากขึ้น ก่อหนี้ลดลง ออมเงินเพิ่มขึ้น  สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยปี 2556  คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.5 ” 

          ในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจภายในประเทศอ่อนแอกว่าที่เคยประมาณการไว้ ด้วยการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) มีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำที่ -0.7% และ +0.6% ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมตามลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลเนื่องจากในไตรมาสนี้ควรเห็นการฟื้นตัวของการบริโภคแบบ Cyclical Rebound หลังจากได้ชะลอตัวจากการบริโภคเกินตัวในปีก่อนหน้าและความกังวลในภาวะเศรษฐกิจโลกในครึ่งแรกของปี การชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาพื้นฐาน กล่าวคือ (1) การเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องลดการบริโภค และ (2) ความสามารถในการกู้ยืมของประชาชนเริ่มลดลงทำให้ไม่สามารถบริโภคเพิ่มขึ้น ปัญหาพื้นฐานทั้ง 2 นี้ไม่พบว่ามีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายได้หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของภาระหนี้สินครัวเรือน ในขณะที่การบริโภคประสบปัญหา การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงเช่นกันในไตรมาสที่ 3 นี้ โดยที่ Private Investment Index มีอัตราการขยายตัว -4.8% และ -4.0% ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมตามลำดับ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับตัวเลขที่ลดลงของการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rates) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียง 63.4% ในเดือนสิงหาคม (จาก 71.6% ในเดือนมีนาคม) ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะผู้ประกอบการคงไม่เห็นเหตุผลที่ลงทุนเมื่อยอดขายสินค้าชะลอตัวและมีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก
         
          สำหรับภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 3 กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัว 0.79% เมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสที่ 2/2556 ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสำคัญจากอุปสงค์ด้านเงินรับฝากและด้านสินเชื่อ รวมถึงการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาคการผลิต และบริการ จากข้อมูลรวบรวม (ณ วันที่ 30 กันยายน 2556) ของภาคธุรกิจสหกรณ์ไทยทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 11,116 แห่ง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด(33%) แยกเป็นกลุ่มสหกรณ์ในภาคเกษตร 3,858 แห่ง และกลุ่มสหกรณ์นอกภาคเกษตร 3,034 แห่ง และกลุ่มเกษตรกร 4,224 แห่ง โดยมีสมาชิกผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 12.12 ล้านคน คิดเป็น 18% ของประชากรทั้งประเทศ และมีทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 2 ล้านล้านบาท
 

           
          1. ภาคการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.79 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.93 เป็นผลจากการชะลอลงของอุปสงค์ด้านการรวบรวม/แปรรูปหดตัวร้อยละ 3.23 และด้านการให้บริการหดตัวร้อยละ 3.61 มีมูลค่าธุรกิจโดยรวม 3.4 แสนล้านบาท ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรสูงสุดจำนวน 1.1 แสนล้านบาท (33%) หรือเฉลี่ย 16,585 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาธุรกิจสินเชื่อ(23.9%)ธุรกิจรับฝากเงิน(22.3%) ธุรกิจจัดหาสินค้า มาจำหน่าย(20.9%) และ ธุรกิจให้บริการและส่งเสริมการเกษตร (0.2%) ตามลำดับ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท สูงสุดของภาคสหกรณ์ไทย ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.5 ของรายได้รวมทั้งสิ้น และมีกำไรสุทธิรวม 5,219 ล้านบาท โดยมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 20,128 บาทต่อครัวเรือน (ขยายตัว 42%) หนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 14,597 บาทต่อครัวเรือน (หดตัว 23%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.38 เท่าของเงินออมเฉลี่ย 

          2. นอกภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.88 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 1.66 ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอลงของอุปสงค์ด้านการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายหดตัวร้อยละ 1.12 และด้านการให้บริการหดตัวร้อยละ 1.44 จากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 1.40 และร้อยละ 16.31 ตามลำดับ มูลค่าธุรกิจโดยรวมเท่ากับ 1.6 ล้านล้านบาท ธุรกิจให้สินเชื่อยอดสูงสุด 1.1 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 69.6) หรือเฉลี่ย 2.3 แสนบาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจรับฝากเงิน (29.4%) และอื่นๆ (1.0%) ตามลำดับ รายได้รวมทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับสองรองจากสหกรณ์ใน ภาคเกษตร ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 6.3 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมสูงสุดมากเป็นอันดับหนึ่งของภาคสหกรณ์ไทย 57,290 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 91.38 ของกำไรสุทธิรวมทั้งระบบ โดยมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 291,196 บาทต่อครัวเรือน (ขยายตัว 15%) มีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 257,397 บาทต่อครัวเรือน (หดตัว 10%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.13 เท่าของเงินออมเฉลี่ย มีอัตราน้อยกว่าสหกรณ์ในภาคการเกษตร 
 
          3. กลุ่มเกษตรกร หดตัวร้อยละ 9.04 ลงจากไตรมาสที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 1.75 ปัจจัยสำคัญมาจาก
อุปสงค์หดตัวลงเกือบทุกด้าน โดยด้านการรับฝากเงินหดตัวร้อยละ 4.12 ยกเว้นด้านสินเชื่อ ขยายตัวร้อยละ 5.31 ด้านการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายหดตัวร้อยละ 2.47 ด้านการรวบรวม/แปรรูปหดตัวร้อยละ 12.82 มีมูลค่าธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.3 หมื่นล้านบาท ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรสูงสุดจำนวน 8.9 พันล้านบาท (70.1%) หรือ เฉลี่ย 604 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจสินเชื่อ ( 15.3%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (12.1%) และอื่นๆ (2.5%) ตามลำดับ รายได้รวมทั้งสิ้น 11,372 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 11,187 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 184 ล้านบาท โดยมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 3,534 บาทต่อครัวเรือน (ขยายตัว 1.6 เท่า) มีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1,442 บาทต่อครัวเรือน (หดตัว 57%) มีหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 2.4 เท่าของเงินออมเฉลี่ย ค่อนข้างสูง

          ธุรกิจหลักของภาคสหกรณ์ หากมองถึงตัวเลขการลงทุนในธุรกิจสำคัญของภาคสหกรณ์ไทย 5 ธุรกิจ เพื่อให้บริการแก่สมาชิก ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรับฝากเงิน 2) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) 3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล และ5) ธุรกิจการให้บริการอื่นๆ พบว่า ธุรกิจโดยรวมขยายตัว 0.79% จากไตรมาสที่2/2556 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.98 ล้านล้านบาท ธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) สูงสุด 62% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้นของภาคสหกรณ์ไทย หากเจาะลึกลงไปในแต่ละธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้

 
             
         
          1) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) ขยายตัวร้อยละ 0.72 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 1.50 นับเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการดำรงชีพของมวลสมาชิกสหกรณ์ใช้บริการค่อนข้างสูงถึง 62% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น มีมูลค่าการให้สินเชื่อรวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี เฉลี่ยตกเดือนละกว่า 1 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1 แสนบาทต่อครัวเรือน แบ่งเป็นสินเชื่อนอกภาคเกษตรมีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 93% ของยอดเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น โดยมีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 2.5 แสนบาทต่อครัวเรือน ขณะที่ยอดการให้สินเชื่อในภาคเกษตร มีเพียง 8.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 7% ของยอดสินเชื่อรวมทั้งสิ้น และมีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1.4 หมื่นบาทต่อครัวเรือน
 
         2) ธุรกิจรับฝากเงิน ขยายตัวร้อยละ 2.13 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 3.19 เป็นธุรกิจที่มี ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งขยายตัวมากกว่าธุรกิจสินเชื่อถึง 2.6 เท่าตัว ในรอบปีมียอดเงินรับฝากคิดเป็นมูลค่ารวม 5.5 แสนล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 4.6 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นยอดเงินรับฝากนอกภาคเกษตร มีปริมาณสูงสุดเท่ากับ 4.8 แสนล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินรับฝากทั้งสิ้น โดยมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 2.9 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วนภาคเกษตร มียอดเงินรับฝากเพียง 7.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 14% และมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 2 หมื่นบาทต่อครัวเรือน

         3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ขยายตัวร้อยละ 0.33 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 8.42 มียอดมูลค่าการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 8.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 6.9 พันล้านบาทต่อเดือน โดยภาคเกษตร มียอดการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายสูงสุดเท่ากับ 7.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินจัดหาสินค้ามาจำหน่ายทั้งระบบ ขณะที่นอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 13% 

         4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล หดตัวร้อยละ 3.89 น้อยลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่หดตัวร้อยละ 8.35 เนื่องจากเป็นผลพวงนโยบายโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจด้านนี้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าการรวบรวม/แปรรูปทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน โดยในภาคเกษตรมีปริมาณการรวบรวม/แปรรูปผลิตผลสูงสุดเท่ากับ 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 90% ของยอดเงินรวบรวม/แปรรูปทั้งระบบ และนอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 2.9 พันล้านบาท คิดเป็น 2%

         5) ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร หดตัวร้อยละ 2.06 จากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 10.97 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.8 พันล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 154 ล้านบาท โดยนอกภาคเกษตรมีปริมาณการให้บริการสูงสุดเท่ากับ 1.2 พันล้านบาท คิดเป็น 66% ของยอดเงินให้บริการทั้งระบบ ขณะที่ในภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 588 ล้านบาท คิดเป็น 32%

          บทสรุปภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 3/2556 โดยภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากไตรมาสที่แล้ว มีกำไรทุกกลุ่มทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร กำไรโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.50% จากไตรมาสที่ 2 โดยมียอดกำไรรวมทั้งสิ้น 62,693 ล้านบาท นอกภาคเกษตรทำกำไรสูงสุด 57,290 ล้านบาท คิดเป็น 91% ของกำไรสุทธิทั้งระบบ (เกษตร 4,952 ลบ., ประมง 27ลบ., นิคม 240ลบ. ร้านค้า 227 ลบ., บริการ 400 ลบ., ออมทรัพย์ 54,979 ลบ., เครดิตยูเนี่ยน 1,684 ลบ., กลุ่มเกษตรกร 184 ลบ.) รายได้หดตัวลง 1.26% จากไตรมาสที่แล้ว ส่วนค่าใช้จ่าย 2.7 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 81.40 ของรายได้รวมทั้งสิ้น หดตัวลงเช่นเดียวกัน 1.65% หนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนหดตัวลง 12.10% จากไตรมาสที่แล้ว ตกครัวเรือนละ 1.1 แสนบาทต่อครัวเรือน ขณะที่เงินออมเฉลี่ยต่อครัวเรือน ขยายตัว 16.28 % จากไตรมาสที่แล้ว ตกครัวเรือนละ 1 แสนบาทต่อครัวเรือน ดังนั้นสหกรณ์ควรที่จะหามาตรการในการลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางตัวลงเพื่อคงสภาพที่ดีของสหกรณ์ และเพื่อเพิ่มกำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ต้องไม่ละทิ้งหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ ในการช่วยเหลือ พึ่งพา และเอื้ออาทรต่อกันในหมู่คณะ ที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการนำหลัก "ธรรมาภิบาล” และหลัก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาปรับใช้ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

          สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในภาพรวมทั้งปี 2556 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น จากปี 2555 อยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.5 โดยปรับตัวลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม ณ เดือนกันยายน 2556 เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศอ่อนแอเป็นเรื่องที่น่ากังวล ทั้งสถานการณ์ภัยธรรมชาติ ปัญหาน้ำท่วมในบางพื้นที่ของประเทศในช่วงปลายปี 2556 และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลายเป็นปกติ ประกอบกับการชะลอตัวของการบริโภคของภาคสหกรณ์ไทย ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจภาคสหกรณ์ไทย
 
............................................
 

ที่มา: กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ,พ.ศ.2556

ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สหกรณ์ไทย ...คืนกำไรสู่สมาชิก 80.52 %
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 6618 คน จำนวนคนโหวต 5 คน

  จำนวนคนโหวต 5 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
 
20%
  ให้ 2 คะแนน
0%
  ให้ 3 คะแนน
0%
  ให้ 4 คะแนน
 
20%
  ให้ 5 คะแนน
 
60%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel