Sorry, your browser does not support JavaScript!
W3C
fontsizes fontsizem fontsizel
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กรมตรวจบัญชีสหกรณ์



 
         
          ตลอดทั้งปี 2556 เศรษฐกิจไทยปีงูเล็กชะลอตัวย่อเล็กลงจากปีงูใหญ่ที่ผ่านมา แต่ยังเติบโตได้ใกล้เคียงกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระหว่าง 4-5% โดยพึ่งพาการใช้จ่ายและลงทุนในประเทศเป็นหลัก สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย 10,834 แห่ง
ประกอบด้วย สหกรณ์จำนวน 6,704 แห่ง (ภาคเกษตร 3,732 แห่ง นอกภาคเกษตร 2,972 แห่ง) และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 4,130 แห่ง มีจำนวนสมาชิกรวมทั้งสิ้น 12 ล้านคนเศษ คิดเป็นร้อยละ 18.57 ของประชากรทั้งประเทศ มีทุนดำเนินงานรวมเท่ากับ 2.06 ล้านล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจรวม 1.98 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.64 ของ GDP พบว่า เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวเล็กลงด้วยเช่นกันที่ร้อยละ 5.18 จากปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 10.18 มีบทสรุปดังนี้
          สภาพการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทยปัจจุบัน
จำนวนองค์กรและสมาชิกองค์กรขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ร้อยละ 1.91 และร้อยละ 4.67 ตามลำดับ จำนวนสมาชิกมี
ค่อนข้างมากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในสถานะที่เป็น
ทั้งเจ้าของและผู้ใช้บริการ ส่งผลให้ทุนดำเนินงานมีการ
ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทุนภายใน
มาจากทุนเรือนหุ้นที่สมาชิกเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด กับเงินฝาก
ที่สมาชิกเป็นผู้ฝากรายใหญ่เช่นกัน อีกทั้งการดำเนินการ
อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการสหกรณ์ที่เป็น
ตัวแทนจากสมาชิก นับเป็น
จุดแข็งของภาคสหกรณ์ไทย
 
การจัดการธุรกิจของภาคสหกรณ์ไทย ปี 2556 พบว่า ดำเนินธุรกิจแบบอเนกประสงค์มี 5 ธุรกิจให้บริการสมาชิกสหกรณ์ ธุรกิจโดยรวมขยายตัวร้อยละ 5.18 ชะลอตัวลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 10.18 โดยธุรกิจด้านการให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) มีปริมาณมากสุด 1.22 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.47 ของปริมาณธุรกิจรวมทั้งสิ้น รองลงมา ธุรกิจรับฝากเงิน (28.07%) ธุรกิจรวบรวม

ผลิตผลและแปรรูป (6.19%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (4.18%) และธุรกิจการให้บริการ (0.09%) ตามลำดับ ถ้าพิจารณาปริมาณการจัดการธุรกิจเป็นรายประเภท พบว่า สหกรณ์นอกภาคการเกษตร มีปริมาณธุรกิจสูงสุด 1.6 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 82.21 เฉลี่ยตกเดือนละ 135,873 ล้านบาทต่อเดือน รองลงมา สหกรณ์ในภาคเกษตร เท่ากับ 3.4 แสนล้านบาท (17.15%) และกลุ่มเกษตรกร เท่ากับ 12,690 ล้านบาท (0.64%) ตามลำดับ
          ผลการดำเนินงานโดยรวม รายได้ขยายตัว
มากกว่าค่าใช้จ่าย ส่งผลให้กำไรขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่
แล้ว โดยมีระบบการควบคุมภายในอยู่ในระดับที่ดี-ดี
มาก ขยายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเช่นกัน เกิดจากศักยภาพ
และขีดความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจของ
คณะกรรมการดำเนินงานสหกรณ์ โดย สหกรณ์ภาค



การเกษตรมีค่าใช้จ่ายหดตัวลงร้อยละ 1.67 ใกล้เคียงกับการหดตัวของรายได้ที่ร้อยละ 1.45 เช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรกรมีค่าใช้จ่ายหดตัวร้อยละ 13.29 และรายได้หดตัวร้อยละ 12.78 ส่วนสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีค่าใช้จ่ายขยายตัวร้อยละ 20.12 มากกว่าการขยายตัวของรายได้ที่ร้อยละ 16.94 แสดงให้เห็นว่าการควบคุมต้นทุนการบริหารจัดการหรือต้นทุนการผลิตของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกประเภทต้องได้รับการปรับปรุง พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากพบว่าต้นทุนค่อนข้างสูงใกล้เคียงรายได้รวม ทั้งนี้เพื่อให้ช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายมีมากขึ้นส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในที่สุด
 
 
ประสิทธิภาพการบริหารทางการเงินต้องเพิ่มความเข้มในบริหารการจัดการมากขึ้น ด้วยภาคสหกรณ์ไทยร้อยละ 55.06 มีอัตราค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อกำไรที่สูงกว่าระดับมาตรฐาน ส่วนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (26.34%) และ ได้มาตรฐาน (18.60%) ส่วนอัตราลูกหนี้ชำระได้ตามกำหนดสูงกว่า ระดับมาตรฐานที่ร้อยละ 63.30 รองลงมา ต่ำกว่ามาตรฐาน (18.53%) และ ได้มาตรฐาน (18.17%) ขณะที่อัตรา
ทุนสำรองต่อสินทรัพย์ส่วนใหญ่
มีอัตราที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐาน คิดเป็นร้อยละ 50.74 รองลงมา สูงกว่ามาตรฐาน (29.39%)และ ระดับมาตรฐาน (19.87%) ตามลำดับ ส่งผลให้ภาคสหกรณ์ไทยต้องมีการเฝ้าระวังทางการเงินเป็นพิเศษเร่งด่วนที่ร้อยละ 23.33 มองเจาะหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของภาคสหกรณ์ไทย พบว่า ครัวเรือนของสหกรณ์ในภาคการเกษตรมีหนี้เฉลี่ยเท่ากับ 19,251 บาทต่อครัวเรือน (เงินออม 14,662 บาทต่อครัวเรือน ) ส่วนสหกรณ์นอกภาคเกษตรเฉลี่ย 294,653 บาทต่อครัวเรือน (มีเงินออม 260,426 บาทต่อครัวเรือน ) ขณะที่ครัวเรือนของกลุ่มเกษตรกรตกเฉลี่ย 3,396 บาทต่อ (เงินออม 1,470 บาทต่อครัวเรือน) ในปี 2556 ภาคครัวเรือนของภาคสหกรณ์ไทยระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นจะเห็นได้ว่าอัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนชะลอลง ขณะที่อัตราการออมเงินของครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้น
         
          สำหรับภาวะเศรษฐกิจเชิงมิติทางการเงินของภาคสหกรณ์ไทย ปี 2556 พบว่า ภาพรวมส่วนใหญ่ภาคสหกรณ์มีความสามารถในการบริหารจัดการได้ดีพอสมควรจะเห็นได้จาก ความพอเพียงของเงินทุนต่อความเสี่ยง(Capital strength) พบว่า พอเพียงและไม่เสี่ยง จากทุนดำเนินงานที่มีจำนวน 2.06 ล้านล้านบาท ขยายเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.98 จากเมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นทุนของสหกรณ์จำนวนถึง 9.05 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43.98 และมีเงินกู้ยืมมาจำนวน 4.79 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.30 ทุนสหกรณ์จึงรองรับหนี้เงินกู้ยืมภายนอกได้ 1.89 เท่า คุณภาพสินทรัพย์ (Asset Quality) โดยรวมมีคุณภาพสร้างรายได้ให้ผลตอบแทนร้อยละ 3.27 สินทรัพย์รวมของภาคสหกรณ์ทั้งสิ้น 2.06 ล้านล้านบาท เป็นลูกหนี้สินเชื่อมากที่สุดจำนวน 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78.98 ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่สามารถชำระหนี้ถึงได้ร้อยละ 83.35 ของหนี้ถึงกำหนดชำระ และมีหนี้ที่ไม่สามารถชำระตามกำหนดได้เพียงร้อยละ 2.07 ของมูลหนี้ทั้งหมด ความสามารถในการบริหารจัดการ (Management Ability) ของภาคสหกรณ์ซึ่งมีการบริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก พบว่า สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวมจำนวน 1.98 ล้านล้านบาท เฉลี่ย 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน ขยายตัวร้อยละ 5.18 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้นทุกด้าน หากพิจารณาถึงเสถียรภาพทางการเงิน พบว่า ภาคสหกรณ์ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.02 มีความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับปานกลาง และระดับมั่นคงดี-ดีมาก ร้อยละ 19.30 ขณะที่ระดับที่อ่อนแอมากมีเพียงร้อยละ 8.59 ความสามารถในการทำกำไร (Earning) พบว่า มีกำไรทุกประเภทสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รายได้ขยายตัวมากกว่าค่าใช้จ่าย และมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นจำนวน 6.26 หมื่นล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 18.59 ของรายได้ทั้งสิ้น และคิดเป็นร้อยละ 22.84 ของรายจ่ายทั้งสิ้น สภาพคล่องทางการเงิน(Liquidity) พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างหนี้สินหมุนเวียนต่อสินทรัพย์หมุนเวียน พบว่า หนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 1.8 เท่า อย่างไรก็ตาม หนี้สินหมุนเวียนเกินกว่าครึ่งเป็นเงินฝากของสมาชิกคิดเป็นร้อยละ 57.20 และลูกหนี้ส่วนใหญ่สามารถชำระได้ตามกำหนดถึงร้อยละ 83.35 ของมูลหนี้ที่ถึงกำหนดชำระทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้หนี้สินหมุนเวียนจะมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนแต่ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากจากสมาชิกซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่สมาชิกทุกคนจะถอนเงินฝากออกไปในครั้งเดียวพร้อมกันจำนวนมากประกอบกับสัดส่วนของจำนวนลูกหนี้ที่สามารถชำระได้ตามกำหนดมีมากกว่าสัดส่วนของลูกหนี้ที่ชำระหนี้ไม่ได้ตามกำหนด ดังนั้นสภาพคล่องของภาคสหกรณ์ทั้งระบบจึงอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างปลอดภัยแต่ไม่ควรประมาทและต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ ผลกระทบของธุรกิจ (Sensitivity) มีความเสี่ยงทางธุรกิจหลายด้าน เช่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน ค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความเสียหายของผลผลิตอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือการระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบาง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการบริโภค และการลงทุน ความสามารถในการสร้างรายได้ และทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
            สำหรับพืชเศรษฐกิจและพืชพลังงานสำคัญปี 2556 หดตัวลงเกือบทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นผลกระทบมาจากภัยธรรมชาติ สถานการณ์การเมือง ตลอดจนนโยบายภาครัฐเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามพืชดังกล่าวยังเป็นความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก คาดการณ์ว่าแนวโน้มปี 2557 คงจะกระเตื้องการขยายตัวเพิ่มขึ้น
          บทสรุปภาพรวมเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยปี 2556 ยังเป็นปัจจัยบวก และยังคงเติบโต ดังนั้น ปีหน้าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป ภาคสหกรณ์ไทยทุกประเภทต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญของการสะสมทุนสำรอง ซึ่งเป็นทุนที่มีความมั่นคงและปราศจากภาวะผูกพัน จะช่วยเป็นเกราะป้องกันรองรับผลกระทบที่เกิดจากภาวะธุรกิจ และต้องพิจารณาหามาตรการเร่งรัดลูกหนี้ให้ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา โดยการสร้างอาชีพเสริมรายได้ให้สมาชิก และพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขธุรกิจการให้สินเชื่อ โดยคำนึงถึงขีดความสามารถการชำระหนี้ของสมาชิกเป็นสำคัญ พร้อมทั้งต้องพิจารณาหาแนวทางลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้สัมพันธ์กับรายได้ โดยการหาเครื่องมือการบริหารงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสม สอดคล้องกับการก้าวไปสู่การเป็นองค์กรแห่งอนาคตที่จะต้องเรียนรู้ให้รู้จักตนเอง และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในการแสวงหากลยุทธ์และรูปแบบการดำเนินงาน เข้ามาประยุกต์ใช้ปรับปรุงอยู่เสมออย่างต่อเนื่อง กำหนดแผนรองรับความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกปัญหาที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนแก่สหกรณ์ต่อไป

               

 

šššššššššš

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าว/บทความยอดนิยม ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด ข่าว/บทความล่าสุด
Learning English : ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (22/03/2550)
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan: NPL) ของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรปี 2555
วิกฤตเศรษฐกิจกระทบเศรษฐกิจสหกรณ์ออมทรัพย์หรือไม่ อย่างไร...
บัญชีต้นทุนประกอบอาชีพช่วยเกษตรกรเรื่องภาษีได้
ผู้สอบบัญชีสหกรณ์มีบทบาทและหน้าที่ในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในสหกรณ์ได้อย่างไร
ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรไทย ปี 2549 (28/03/2550)
กฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law)
“ขนิษฐา มะโนสมบัติ”ครูบัญชีอาสา จังหวัดเชียงรายใช้ศาสตร์พระราชานำทางชีวิต พลิกวิกฤตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
มิติทางการเงินที่มีผลต่อหนี้สินของสหกรณ์ประมงในประเทศไทย
สหกรณ์ไทย ...คืนกำไรสู่สมาชิก 80.52 %
สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของสหกรณ์ออมทรัพย์ และแนวโน้ม ปี 2568
สถานการณ์การค้าข้าวไทยและการรวบรวมผลิตผลข้าวเปลือกของภาคสหกรณ์์ไทยปี 2567
สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีส่วนขาดแห่งทุน
หนี้ที่ชำระไม่ได้ตามกำหนด/NPL ภาคสหกรณ์ไทย ในไตรมาส 2/2567
สุขภาพทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์
จำนวนคนอ่าน 7662 คน จำนวนคนโหวต 2 คน

  จำนวนคนโหวต 2 คน
โหวตคะแนนให้ข่าว/บทความนี้
1 2 3 4 5

  ระดับ 

  ให้ 1 คะแนน
0%
  ให้ 2 คะแนน
0%
  ให้ 3 คะแนน
0%
  ให้ 4 คะแนน
 
50%
  ให้ 5 คะแนน
 
50%
เกี่ยวกับเรา
  • ประวัติ
  • อาคารอนุรักษ์
  • ทำเนียบอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • ผังโครงสร้างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
  • วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย
  • ค่านิยมหลัก
  • วัฒนธรรมองค์กร
  • ทำเนียบ / สถานที่ตั้ง

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
    ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889
     

    Valid HTML 4.01 Transitional

    การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel