|
|
 |
โดย.....เพยาว์ กิมปฐม |
เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาส 4 หดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.10% จากไตรมาสที่แล้ว มีปริมาณธุรกิจ โดยรวม 1.98 ล้านล้านบาท สร้างรายได้และทำกำไรทั่วประเทศกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท และกำไรขยายเพิ่มขึ้น 3.6% ภาคครัวเรือนก่อหนี้เพิ่มขึ้น ชะลอการออมเงินลง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีหน้า น่าจะดีขึ้นและขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.5
|
จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอลงในไตรมาส3ที่ผ่านมา และรอว่าไตรมาสที่ 4 สุดท้ายของปีนี้ น่าจะดี
ขึ้นมาบ้าง แต่ปรากฏว่ากลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดกันไว้ เศรษฐกิจในประเทศมีอาการถดถอยจาก 4 เสาหลัก ทั้งการส่งออก การบริโภค การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐที่ทรุดลงพร้อมกัน ทำให้ในระยะสั้นภาพเศรษฐกิจไม่น่าจะฟื้นตัวได้ ซบเซามาตั้งแต่กลางปีชะลอตัวลงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2556 ไม่เคยเจอกับสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน ซึ่งปกติเศรษฐกิจไม่ดีแต่ก็ยังมีความต้องการซื้อสินค้าอยู่บ้าง หากแต่ประชาชนชะลอการใช้จ่ายลงจากปัญหาการซบเซา และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ประกอบกับในช่วงดังกล่าวราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมไปถึงกรณีความกังวลความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้อนแรงยิ่งโหมผสมโรง มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น ทำให้ชาวบ้านขาดความเชื่อมั่น กำลังซื้อลดลง
ส่วนเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 4 กลุ่มวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เปิดเผยว่า ภาคสหกรณ์ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมหดตัวลงเล็กน้อย 0.10% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/2556 ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ต่างกับเศรษฐกิจในประเทศเช่นกัน โดยมีปัจจัยสำคัญจากอุปสงค์ด้านเงินฝากและด้านสินเชื่อ รวมถึงการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาคการผลิตและบริการ จากข้อมูลรวบรวม (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556) หน่วยธุรกิจสหกรณ์ไทยทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 11,072 แห่ง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด(33%) แยกเป็นหน่วยธุรกิจกลุ่มสหกรณ์ในภาคเกษตร 3,836 แห่ง และธุรกิจกลุ่มสหกรณ์นอกภาคเกษตร 3,046 แห่ง และธุรกิจกลุ่มเกษตรกร 4,190 แห่ง โดยมีสมาชิกผู้รับบริการรวมทั้งสิ้น 12.20 ล้านคน คิดเป็น 18% ของประชากรไทยทั้งประเทศ และมีทุนดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 2.13 ล้านล้านบาท แต่ละกลุ่มมีดังนี้
1. กลุ่มสหกรณ์ในภาคการเกษตร ธุรกิจขยายตัวร้อยละ 0.43 ชะลอลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.79 เป็นผลจากการชะลอลงของอุปสงค์ด้านการรวบรวม/แปรรูปหดตัวร้อยละ 0.34 มีปริมาณธุรกิจลงทุนโดยรวม 3.4 แสนล้านบาท โดยธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลมีปริมาณสูงสุดจำนวน 1.1 แสนล้านบาท (32%) หรือเฉลี่ย 16,531 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาธุรกิจสินเชื่อ (24%) ธุรกิจรับฝากเงิน(22.3%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (21.03%) และ ธุรกิจให้บริการและส่งเสริมการเกษตร (0.2%) ตามลำดับ ธุรกิจมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.1 แสนล้านบาท สูงสุดของภาคสหกรณ์ไทย ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 2 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 97.4 ของรายได้รวมทั้งสิ้น และมีกำไรสุทธิรวม 5,275ล้านบาท ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือน ละ 14,616 บาทต่อครัวเรือน(เพิ่มขึ้น0.13%) ขณะที่ |
หนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 19,199 บาทต่อครัวเรือน (ลดลง4.6%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.31 เท่าของเงินออมเฉลี่ย
2. กลุ่มสหกรณ์นอกภาคเกษตร ธุรกิจหดตัวร้อยละ 0.20 ลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.88 ปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอลงของอุปสงค์ด้านสินเชื่อหดตัวร้อยละ 0.86 มีปริมาณธุรกิจลงทุนรวม 1.6 ล้านล้านบาท โดยธุรกิจสินเชื่อมีปริมาณสูงสุด 1.1 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 69.2) หรือเฉลี่ย 2.3 แสนบาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจรับฝากเงิน (29.9%) และอื่นๆ (1.0%) ตามลำดับ ธุรกิจมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มธุรกิจสหกรณ์ในภาคการเกษตร
|
 |
ค่าใช้จ่ายรวม 6.7 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิมียอดสูงสุดในภาคสหกรณ์ไทย 59,528 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 91.59 ของกำไรสุทธิรวมทั้งระบบ ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 260,405 บาทต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น 1.17%) ส่วนหนี้สินตกเฉลี่ยครัวเรือนละ 300,576 บาทต่อครัวเรือน (ขยายเพิ่มขึ้น 13.5%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.15 เท่าของเงินออมเฉลี่ย
3. กลุ่มเกษตรกร ธุรกิจหดตัวร้อยละ 1.64 น้อยกว่าไตรมาสที่แล้ว ที่หดตัวร้อยละ 9.04 ปัจจัยสำคัญมาจาก อุปสงค์ธุรกิจทุกด้านหดตัวลง โดยด้านการรับฝากเงินหดตัวร้อยละ 6.09 ด้านสินเชื่อร้อยละ 0.21 ด้านการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายร้อยละ 0.26 ด้านการรวบรวม/แปรรูปร้อยละ 2.06 มีปริมาณธุรกิจรวมกันเท่ากับ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรมีปริมาณสูงสุดจำนวน 8.7 พันล้านบาท (69.8%) หรือ เฉลี่ย 726 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจสินเชื่อ ( 15.5%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (12.2%) และอื่นๆ (2.5%) ตามลำดับ รายได้รวมทั้งสิ้น 11,365 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 11,181 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 184 ล้านบาท ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 1,467 บาทต่อครัวเรือน (ขยายเพิ่มขึ้น 1.7%) และมีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 3,371 บาทต่อครัวเรือน (ลดลง4.6%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 2.2 เท่าของเงินออมเฉลี่ย ค่อนข้างสูง
สำหรับธุรกิจลงทุนของภาคสหกรณ์ ปี 2556 ตัวเลขการลงทุนในธุรกิจสำคัญของภาคสหกรณ์ไทย 5 ธุรกิจ เพื่อให้บริการแก่สมาชิก ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรับฝากเงิน 2) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) 3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล และ5) ธุรกิจการให้บริการอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น 1.98 ล้านล้านบาท พบว่า ธุรกิจโดยรวมหดตัว 0.10% จากไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจรวบรวมและแปรรูปหดตัวลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายโครงการจำนำข้าวของภาครัฐ โดยธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) มีปริมาณสูงสุด 1.2 ล้านล้านบาท (หดตัว 0.72%) ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้นของภาคสหกรณ์ไทย จำแนกตามธุรกิจมีดังนี้
|
 |
1) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) หดตัวร้อยละ 0.72 จากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.72 นับเป็นธุรกิจที่มี บทบาทสำคัญมากต่อการดำรงชีพของมวลสมาชิกสหกรณ์ใช้บริการค่อนข้างสูงถึง 61% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น มีมูลค่าการให้สินเชื่อรวมทั้งสิ้น 1.22 ล้านล้านบาทต่อปี เฉลี่ยตกเดือนละกว่า 1 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1 แสนบาทต่อครัวเรือน แยกเป็นสินเชื่อ นอกภาคเกษตรมีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 93% ของยอดเงินให้สินเชื่อรวมทั้งสิ้น ครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วนครัวเรือนในภาคเกษตร มีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1.4 หมื่นบาทต่อครัวเรือน
2) ธุรกิจรับฝากเงิน ขยายตัวร้อยละ 1.22 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 2.13 เป็นธุรกิจที่มี ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งขยายตัวมากกว่าธุรกิจสินเชื่อ ในรอบปีมียอดเงินรับฝากคิดเป็นมูลค่ารวม 5.6 แสนล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยรับฝากเงินตกเดือนละ 4.6 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แยกเป็นยอดเงินรับฝากนอกภาคเกษตร มีปริมาณสูงสุดเท่ากับ 4.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินรับฝากรวมทั้งสิ้น ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 2.6 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วนครัวเรือนภาคเกษตร มีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน
3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ขยายตัวร้อยละ 0.60 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.33 มียอดมูลค่าการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 8.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 6.9 พันล้านบาทต่อเดือน โดยภาคเกษตร มียอดการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายสูงสุดเท่ากับ 7.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินจัดหาสินค้ามาจำหน่ายทั้งระบบ ขณะที่นอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 13%
4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล หดตัวร้อยละ 0.46 น้อยกว่าไตรมาสที่แล้ว ที่หดตัวร้อยละ 3.89 ซึ่งเป็น ผลพวงนโยบายโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจด้านนี้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าการรวบรวม/แปรรูปทั้งสิ้น 1.22 แสนล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน โดยในภาคเกษตรมีปริมาณการรวบรวม/แปรรูปผลิตผลสูงสุดเท่ากับ 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 90% ของยอดเงินรวบรวม/แปรรูปทั้งระบบ และนอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 2.9 พันล้านบาท คิดเป็น 2%
5) ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.32 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ที่หดตัวลง ร้อยละ 2.06 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.8 พันล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยตกเดือนละ 154 ล้านบาท โดยนอกภาคเกษตรมีปริมาณการให้บริการสูงสุดเท่ากับ 1.2 พันล้านบาท คิดเป็น 66% ของยอดเงินให้บริการทั้งระบบ ขณะที่ในภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 590 ล้านบาท คิดเป็น 32%
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่4 พบว่า สามารถทำกำไรได้ทุกกลุ่มทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร กำไรขยายตัว 3.66% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวเพียง 0.50 % โดยมียอดกำไรรวมทั้งสิ้น 64,987 ล้านบาท นอกภาคเกษตรทำกำไรสูงสุด 59,527 ล้านบาท คิดเป็น 92% ของกำไรสุทธิทั้งระบบ (เกษตร 5,011 ลบ., ประมง 27 ลบ., นิคม 237 ลบ. ร้านค้า 220 ลบ., บริการ 448 ลบ., ออมทรัพย์ 57,155 ลบ., เครดิตยูเนี่ยน 1,704 ลบ., กลุ่มเกษตรกร 184 ลบ.) รายได้ขยายตัว 2.56% จากไตรมาสที่แล้ว มากกว่าค่าใช้จ่ายที่ขยายตัว 2.31% ส่งผลให้กำไรขยายเพิ่มขึ้น 3.66% จากไตรมาสที่แล้ว ส่วนครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 1.3 แสนบาทต่อครัวเรือน (ขยายเพิ่มขึ้น 3.52%) ขณะที่มีเงินออมเฉลี่ย 1.1 แสนบาทต่อครัวเรือน (ขยายเพิ่มขึ้น 2.10%)
บทสรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 4 สุดท้ายของปี 2556 ยังไม่น่ากังวลมากนักแม้ธุรกิจลงทุนหดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.10 % แต่ผลประกอบการของหน่วยธุรกิจทุกกลุ่มยังสามารถทำกำไรทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร ส่วนครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ยขยายเพิ่มขึ้น 3.52% มากกว่าการออมเงินที่ขยาย 2.10 % จากไตรมาสที่แล้ว โดยกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตรระมัดระวังการใช้จ่าย ก่อหนี้ลดลงพร้อมกับชะลอการออมเงินลง ขณะที่กลุ่มสหกรณ์นอกภาคการเกษตรยังก่อหนี้ขยายเพิ่มขึ้น ส่วนการออมเงินชะลอลงด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยปีหน้า 2557 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2556 อยู่ในช่วง ร้อยละ 0.5-1.5 ดังนั้นสหกรณ์ควรที่จะหามาตรการในการลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางตัวลงเพื่อคงสภาพที่ดีของสหกรณ์ และเพื่อเพิ่มกำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ต้องไม่ละทิ้งหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ ในการช่วยเหลือ พึ่งพา และเอื้ออาทรต่อกันในหมู่คณะ ที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการนำหลัก "ธรรมาภิบาล และหลัก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
|
|
|
ข่าว/บทความยอดนิยม |
ข่าว/บทความที่คะแนนโหวตสูงสุด |
ข่าว/บทความล่าสุด |
|
|
|
จำนวนคนอ่าน 6674 คน |
จำนวนคนโหวต 2 คน |
|
|
สงวนลิขสิทธิ์ 2559 - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 12 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
ศูนย์บริการประชาชน (Call Center) 0 2016 8888 โทรสาร 0 2282 0889 |
|
 |

|
 |
|
การแสดงผลหน้าเว็บไซต์จะสมบูรณ์ที่สุดสำหรับ Google Chrome และ Internet Explorer ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 650 pixel |
|