"เริ่มไตรมาสแรกของปี 2557 ภาพรวมเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทย เริ่มขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อยที่ 0.21% จากปีที่แล้วที่หดตัวลง 0.10% ส่งผลให้รายได้ขยับขึ้น 0.76% ครัวเรือนก่อหนี้ พร้อมกับการออมเงินในอัตราที่ใกล้เคียงกัน คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องและขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.0
มองย้อนหลังเศรษฐกิจไทยปลายปี 2556 ส่งออกวูบ การเมืองแรงฉุดจีดีพีดิ่ง ต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกและภายในประเทศ กล่าวคือ ปัจจัยเสี่ยงภายนอกเป็นผลเศรษฐกิจโลกเติบโตช้ากว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ส่วนสถานการณ์ภายในปัจจัยการเมืองยังเป็นปัญหาใหญ่ตั้งแต่วันที่ 31 ตค. เป็นต้นมายิ่งทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังสุดท้ายของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 หมดสิ้นไปทันที ภาคการส่งออกนั้นถือว่าต่ำกว่าที่คาด อีกทั้งการลงทุนภาครัฐไม่เป็นไปตามคาดการณ์ในช่วงครึ่งหลังของปี เป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจปี 2556 การใช้จ่ายของประเทศเผชิญภาวะชะลอตัว กำลงซื้อของภาคครัวเรือนหด เพราะมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และค่าครองชีพที่สูงขึ้น
กลับมาที่เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ในไตรมาสแรกของ ปี 2557 ซึ่งไม่ต่างกับเศรษฐกิจในประเทศช่วงไตรมาสแรกเช่นกันที่เริ่มขยับตัว ภาพเศรษฐกิจภาคสหกรณ์โดยรวมยังทรงตัวและเริ่มขยับตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.21 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยมีปัจจัยสำคัญจากธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการผลิต และบริการหดตัวลง รวมถึงการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงกว่ารายได้เกือบ 4 เท่าตัว จากข้อมูลรวบรวม (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557) หน่วยธุรกิจสหกรณ์ทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 11,023 แห่ง ประกอบด้วย 1) หน่วยธุรกิจสหกรณ์ในภาคเกษตร 3,802 แห่ง 2) หน่วยธุรกิจสหกรณ์นอกภาคเกษตร 3,081 แห่ง และ 3) หน่วยธุรกิจกลุ่มเกษตรกร 4,140 แห่ง มีสมาชิกผู้รับบริการรวมทั้งสิ้น 12.22 ล้านคน คิดเป็น 18% ของประชากรไทยทั้งประเทศ และมีเงินทุนดำเนินธุรกิจรวม 2.24 ล้านล้านบาท แต่ละกลุ่มมีรายละเอียด ดังนี้
1.สหกรณ์ภาคการเกษตร
"ไตรมาสแรกปี 2557 ธุรกิจภาคการเกษตรหดตัวลงร้อยละ 1.54 เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญ มาจากธุรกิจลงทุนเกือบทุกด้านหดตัวลง ยกเว้นธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.95 รายได้หด กำไรลด ส่วนครัวเรือนมีอัตราการก่อหนี้มากกว่าการออม
ภาคการเกษตรมีทุนกว่า 2 แสนล้านบาท มีธุรกิจลงทุน 5 ธุรกิจ โดยธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลมีปริมาณสูงสุด จำนวน 1.06 แสนล้านบาท (32%) หรือเฉลี่ย 8,849 บาทต่อครัวเรือน รองลงมา ธุรกิจสินเชื่อ (24%) ธุรกิจรับฝากเงิน(22%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (21%) และ ธุรกิจให้บริการและส่งเสริมการเกษตร (0.2%) ตามลำดับ ธุรกิจโดยรวมหดตัวลงร้อยละ 1.54 เมื่อเทียบกับปี 2556 มีรายได้รวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสนล้านบาท (ลดลง 1.48%) ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 1.9 แสนล้านบาท(ลดลง 1.43%) คิดเป็นร้อยละ 97.5 ของรายได้รวมทั้งสิ้น และมีกำไรสุทธิรวม 5,083 ล้านบาท(ลดลง3.64%) ทั้งนี้ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 14,763 บาทต่อครัวเรือน(เพิ่มขึ้น 1.01%) ขณะที่หนี้เฉลี่ยตกครัวเรือนละ 19,436บาทต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น 1.23%) โดยหนี้คิดเป็น 1.31 เท่าของเงินออม
2.สหกรณ์นอกภาคเกษตร
"ไตรมาสแรกปี 2557 ธุรกิจนอกภาคการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.61 เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกิจสินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายขยายตัวสูงกว่ารายได้ค่อนข้างมาก กำไรหด ส่วนครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่ายก่อหนี้ลดลง ออมเพิ่มขึ้น
นอกภาคการเกษตร มีทุนรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท มีธุรกิจลงทุน 5 ธุรกิจเช่นกัน ส่วนใหญ่เน้นธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจรับฝากเงินเป็นหลักคล้ายธนาคาร ธุรกิจโดยรวมขยายตัวร้อยละ 0.61 เมื่อเทียบกับปี 2556 ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวธุรกิจสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.10 โดยธุรกิจสินเชื่อมีปริมาณธุรกิจสูงสุด 1.1 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 69.5) หรือเฉลี่ย 9.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจรับฝากเงิน (29.6%) และอื่นๆ (0.9%) ตามลำดับ มีรายได้รวม 1.3 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.96%)ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม 8.6 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 26.84%) และมีกำไรสุทธิรวม 47,618 ล้านบาท(ลดลง 20.01%) ส่วนครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 273,120 บาทต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น 4.88%) ส่วนหนี้สินตกเฉลี่ยครัวเรือนละ 316,508 บาทต่อครัวเรือน (หดตัวลง 4.26%) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 1.15 เท่าของเงินออมเฉลี่ย
3.กลุ่มเกษตรกร
"ไตรมาสแรกปี 2557 ธุรกิจกลุ่มเกษตรกรหดตัวลงร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญ มาจากธุรกิจลงทุนเกือบทุกด้านหดตัวลง คล้ายธุรกิจภาคการเกษตร รายได้ลด กำไรหด ครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่าย หนี้ลด ออมเพิ่ม
กลุ่มเกษตรกร มีทุนรวมทั้งสิ้น 12,097 ล้านบาท มีธุรกิจลงทุน 5 ธุรกิจคล้ายกับภาคการเกษตร ธุรกิจโดยรวมหดตัวลงร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับปี 2556 ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกิจหดตัวลงเกือบทุกด้าน ยกเว้นธุรกิจรับฝากเงินขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.38 โดยธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรมีปริมาณสูงสุดจำนวน 8.4 พันล้านบาท (69.6%) หรือ เฉลี่ย 702 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ ธุรกิจสินเชื่อ ( 15.8%) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย (12.1%) และอื่นๆ (2.4%) ตามลำดับ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 10,730 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวม 10,562 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 168 ล้านบาท ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 1,555 บาทต่อครัวเรือน (ขยายเพิ่มขึ้น 6 %) และมีหนี้สินเฉลี่ยตกครัวเรือนละ 3,374 บาทต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น 0.09 %) โดยหนี้สินเฉลี่ยคิดเป็น 2.1 เท่าของเงินออมเฉลี่ย ค่อนข้างสูง
ส่วนธุรกิจลงทุนของสหกรณ์ มี 5 ธุรกิจ เพื่อให้บริการแก่สมาชิก ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรับฝากเงิน 2) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) 3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล และ5) ธุรกิจการให้บริการอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น 1.98 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.21 เมื่อเทียบกับปี 2556 ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) มีปริมาณสูงสุด 1.2 ล้านล้านบาท 61.54% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้นของภาคสหกรณ์ไทย รายละเอียดของธุรกิจมีดังนี้
1) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) มีปริมาณธุรกิจ 1.22 ล้านล้านบาท (61.54 %) ขยายตัวร้อยละ 0.97 เมื่อเทียบ กับปี 2556 นับเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการดำรงชีพของมวลสมาชิกสหกรณ์ใช้บริการค่อนข้างสูงถึง 61% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น เฉลี่ยตกเดือนละกว่า 1 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเฉลี่ย 1 แสนบาทต่อครัวเรือน โดย นอกภาคเกษตร มีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 93% ของยอดเงินให้สินเชื่อรวมทั้งสิ้น ครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ยตก 3 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วนภาคเกษตร ครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ย 1.9 หมื่นบาทต่อครัวเรือน
2) ธุรกิจรับฝากเงิน มีปริมาณธุรกิจ 5.6 แสนล้านบาท (28.24 %) หดตัวลงร้อยละ 0.54 เมื่อเทียบกับปี 2556 เป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญไม่น้อย สมาชิกสหกรณ์ใช้บริการ 28% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น ตกเฉลี่ยเดือนละ 4.6 หมื่นล้านบาทต่อเดือน โดย นอกภาคเกษตร มีปริมาณรับฝากเงินสูงสุดเท่ากับ 4.8 แสนล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินรับฝากรวมทั้งสิ้น ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 2.7 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วน ภาคเกษตร ครัวเรือนมีเงินออมเฉลี่ย 1.4 หมื่นบาทต่อครัวเรือน
3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย มีปริมาณธุรกิจ 8.4 หมื่นล้านบาท (4.23 %) ขยายตัวร้อยละ 0.54 เมื่อ เทียบกับปี 2556 เฉลี่ยตกเดือนละ 7 พันล้านบาทต่อเดือน โดยภาคเกษตร มียอดการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายสูงสุดเท่ากับ 7.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินจัดหาสินค้ามาจำหน่ายทั้งระบบ ขณะที่นอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 13%
4) ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล มีปริมาณธุรกิจ 1.1 แสนล้านบาท (5.91 %) หดตัวร้อยละ 3.86 เมื่อเทียบ กับปี 2556 เฉลี่ยตกเดือนละ 9.7 พันล้านบาทต่อเดือน ผลพวงนโยบายโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ส่งผลให้ธุรกิจด้านนี้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในภาคเกษตรมีปริมาณการรวบรวม/แปรรูปผลิตผลสูงสุดเท่ากับ 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 90% ของยอดเงินรวบรวม/แปรรูปทั้งระบบ และนอกภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 2.9 พันล้านบาท คิดเป็น 2%
5) ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร มีปริมาณธุรกิจ 1.6 พันล้านบาท (0.08%) หดตัวร้อยละ 10.87 เมื่อเทียบกับปี 2556 เฉลี่ยตกเดือนละ 138 ล้านบาท โดยนอกภาคเกษตรมีปริมาณการให้บริการสูงสุดเท่ากับ 1,066 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของยอดเงินให้บริการทั้งระบบ ขณะที่ในภาคเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 559 ล้านบาท คิดเป็น 34%
บทสรุป ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสแรกปี 2557 เริ่มมีสัญญาณที่ดีธุรกิจขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีกำไรเกือบทุกประเภท ยกเว้นประเภทเครดิตยูเนี่ยนขาดทุน เนื่องจากมีการทุจริตของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ซึ่งมีผลขาดทุนมากถึง 1.5 หมื่นล้านบาท จึงส่งผลต่อภาพรวมเครดิตยูเนี่ยน แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจภาคสหกรณ์โดยรวมมีกำไรทั้งสิ้น 52,869 ล้านบาท โดยนอกภาคเกษตรทำกำไรสูงสุด 47,618 ล้านบาท คิดเป็น 90% ของกำไรสุทธิทั้ง ด้านครัวเรือนมีอัตราการก่อหนี้ และ การออมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกัน โดยครัวเรือนนอกภาคการเกษตรระมัดระวังการใช้จ่ายก่อหนี้ลดลงออมเพิ่มขึ้น ขณะที่ครัวเรือนภาคการเกษตรก่อหนี้และออมเงินขยายเพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน
สำหรับทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในไตรมาสที่ 2/2557 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก อยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.0 ดังนั้นสหกรณ์ควรที่จะหามาตรการในการลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางตัวลงเพื่อคงสภาพที่ดีของสหกรณ์ และเพื่อเพิ่มกำไรมากขึ้น โดยยึดหมั่นในหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ เพื่อการช่วยเหลือ พึ่งพา และเอื้ออาทรต่อกันในหมู่คณะ ที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการนำหลัก "ธรรมาภิบาล และหลัก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
|