ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจแต่ละประเภทของสหกรณ์บริการมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลต่อปัจจัยทางการเงินในรูปของผลการดำเนินงานและฐานะการเงินสหกรณ์บริการ ซึ่งถ้าหากสหกรณ์ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ก็จะส่งผลให้สหกรณ์บริการเติบโตที่ดีควบคู่ไปกับความมั่นคงทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ สมาชิกก็จะมีความกินดีอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งระบบ การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการในปี 2556 จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อการนำข้อมูลไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการประกอบการตัดสินใจ เพื่อที่จะพัฒนาและปรับปรุงให้กับการดำเนินงานของสหกรณ์บริการ เพื่อให้กิจการสามารถดำรงอยู่ได้โดยเกิดการดำเนินการที่ยั่งยืน ตลอดจนนำไปปรับปรุงและวางแผนพัฒนาสหกรณ์บริการให้มีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จำเป็นของสมาชิกให้ได้มากขึ้น โดยมีปัจจัยหลัก 2 ด้านประกอบด้วย
ปัจจัยด้านคุณลักษณะของสหกรณ์ ได้แก่ ประเภทย่อยสหกรณ์(Type), สถานภาพ(Status), จังหวัด(Province) และภาค(Region)
ปัจจัยด้านการเงิน ได้แก่ จำนวนสมาชิก สินทรัพย์ทั้งสิ้น, หนี้สินทั้งสิ้น, ทุนของสหกรณ์, มูลค่าธุรกิจ, รายได้ทั้งสิ้น และค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
สหกรณ์บริการ(Service Cooperative) หมายถึง สหกรณ์ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 โดยมีประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คนขึ้นไป ที่มีอาชีพอย่างเดียวกันหรือที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องเดียวกัน รวมตัวกันโดยยึดหลักการประหยัด การช่วยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดความมั่นคงและรักษาอาชีพดั้งเดิมที่ดีให้คงอยู่ต่อไป อาทิ สหกรณ์อุตสาหกรรมในครัวเรือน ตั้งขึ้นในหมู่ประชาชนผู้ประกอบอาชีพหัตถกรรมในครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหา ด้านต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ไม้ หัตถกรรมอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีสหกรณ์รถยนต์โดยสาร รถยนต์แท็กซี่ รถยนต์สามล้อ รถยนต์สี่ล้อเล็ก การเคหสถาน การบริการชุมชน การบริการไฟฟ้าพลังน้ำ การบริการน้ำบาดาล การบริการน้ำประปา การบริการรูปอื่น ๆ สหกรณ์บริการแห่งแรกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2484 คือ สหกรณ์ผู้ทำร่มบ่อสร้างจำกัดสินใช้ อยู่ที่ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังจากนั้นสหกรณ์บริการก็ได้มี การจัดตั้งเพิ่มขึ้นตลอดมา
|
จากตาราง เมื่อพิจารณาตัวแปรหลักและตัวแปรรองทั้งหมด อธิบายได้ว่า จำนวนสมาชิก, สินทรัพย์ทั้งสิ้น, สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งสิ้น, เงินลงทุนระยะยาว, ลูกหนี้ระยะยาวสุทธิ, สินทรัพย์อื่นๆ, หนี้สินทั้งสิ้น, หนี้สินหมุนเวียนทั้งสิ้น, หนี้สินระยะยาว, หนี้สินอื่นๆ, ทุนของสหกรณ์, ทุนเรือนหุ้น, ทุนเรือนหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่า, ทุนสำรอง, ทุนสะสมตามระเบียบข้อบังคับและอื่นๆ, กำไรสุทธิรอการจัดสรร, กำไรขาดทุนสุทธิประจำปี, ให้กู้ระหว่างปี, จัดหาสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มระหว่างปี ,ให้บริการเพิ่มระหว่างปี, รายได้ทั้งสิ้น และค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น มีความสัมพันธ์ต่อการปรับเปลี่ยนระดับเงินทุนในระดับค่อนข้างต่ำ ขณะที่ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ทุนเรือนหุ้นที่ชำระไม่เต็มมูลค่า กำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ ขาดทุนสะสม การรับฝากเพิ่มระหว่างปี รวบรวมผลิตผล และแปรรูป ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการปรับเปลี่ยนระดับเงินทุนเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์มีการขยายโครงการชุดที่เพิ่มมากขึ้นก็จริงแต่เป็นลักษณะการผ่อนกับสหกรณ์ที่กินระยะเวลาที่นาน(15 ปี) กับสหกรณ์, ธุรกิจรวบรวมผลผลิตของสหกรณ์บริการมีกำไรสุทธิน้อยเกินไป และธุรกิจแปรรูปที่ยังมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นของสหกรณ์บริการ
สรุปผล
การทดสอบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเปลี่ยนแปลงระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการ ปี 2556 พบว่า มีระดับเงินทุนหรือทุนดำเนินงานในช่วงควอไทล์ที่ 1 หรือระดับต่ำ 0.00-0.28 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 3,431.90 ล้านบาท ทุนดำเนินงานในช่วงควอไทล์ที่ 2 หรือระดับกลาง 0.29-1.05 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 3,936.95 ล้านบาท ทุนดำเนินงานในช่วงควอไทล์ที่ 3 หรือระดับสูง 1.06-13.71 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 6,523.18 ล้านบาท ทุนดำเนินงานในช่วงควอไทล์ที่ 4 หรือระดับสูงมาก 13.72 ล้านบาท ขึ้นไป คิดเป็นจำนวน 6,432.13 ล้านบาท ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อด้านคุณลักษณะของสหกรณ์ มี 4 ตัวแปรคือ 1)
ปัจจัยประเภทย่อยสหกรณ์ ซึ่งแสดงว่า หากบางสหกรณ์บริการมีการปรับขยายธุรกิจด้วยการเพิ่มความหลากหลายในจำนวนประเภทย่อยให้มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นตามได้ 2) ปัจจัยสถานภาพ ซึ่งแสดงว่าหากบางสหกรณ์บริการมีการปรับขยายธุรกิจด้วยการเพิ่มสหกรณ์บริการในบางสถานภาพที่มากขึ้นโดยเฉพาะสถานภาพดำเนินธุรกิจ ก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์เพิ่มสูงขึ้นตาม 3) ปัจจัยจังหวัด ซึ่งแสดงว่า หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับตัวโดยเพิ่มสหกรณ์บริการในบางจังหวัดให้มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์เพิ่มสูงขึ้นตาม 4) ปัจจัยภาค ซึ่งแสดงว่า หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับตัวโดยเพิ่มสหกรณ์บริการในบางภาคให้มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์เพิ่มสูงขึ้นตาม
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อด้านการเงิน มี 7 ตัวแปรคือ 1) ปัจจัยสมาชิก ซึ่งแสดงว่า หากบางสหกรณ์บริการมีการปรับจำนวนสมาชิกด้วยการเพิ่มสมาชิกที่สมบูรณ์ให้มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการเพิ่มสูงขึ้นตาม 2) ปัจจัยสินทรัพย์ทั้งสิ้น อันประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งสิ้น, เงินลงทุนระยะยาว, ลูกหนี้ระยะยาวสุทธิ และสินทรัพย์อื่นๆ หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งสิ้น, เงินลงทุนระยะยาว, ลูกหนี้ระยะยาวสุทธิ และสินทรัพย์อื่นๆ มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์เพิ่มสูงขึ้นตาม 3) ปัจจัยหนี้สินทั้งสิ้น อันประกอบด้วย หนี้สินหมุนเวียนทั้งสิ้น, หนี้สินระยะยาว และหนี้สินอื่นๆ หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มหนี้สินหมุนเวียนทั้งสิ้น หนี้สินระยะยาว และหนี้สินอื่นๆ มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการเพิ่มสูงขึ้นตาม 4) ปัจจัยทุนของสหกรณ์ อันประกอบด้วย ทุนเรือนหุ้น, ทุนเรือนหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่า, ทุนสำรอง, ทุนสะสมตามระเบียบข้อบังคับและอื่นๆ, กำไรสุทธิรอการจัดสรร, และกำไร(ขาดทุน)สุทธิประจำปี หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มทุนเรือนหุ้น, ทุนเรือนหุ้นที่ชำระเต็มมูลค่า, ทุนสำรอง, ทุนสะสมตามระเบียบข้อบังคับและอื่นๆ, กำไรสุทธิรอการจัดสรร และกำไรขาดทุนสุทธิประจำปี มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการเพิ่มสูงขึ้นตาม 5) ปัจจัยมูลค่าธุรกิจ อันประกอบด้วย ให้กู้ระหว่างปี, จัดหาสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มระหว่างปี และให้บริการเพิ่มระหว่างปี หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มให้กู้ระหว่างปี, จัดหาสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มระหว่างปี, และให้บริการเพิ่มระหว่างปี มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการเพิ่มสูงขึ้นตาม 6) ปัจจัยรายได้ทั้งสิ้น หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มรายได้ธุรกิจหลัก, รายได้เฉพาะธุรกิจ และรายได้อื่น มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์เพิ่มสูงขึ้นตาม 7) ปัจจัยค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น หากสหกรณ์บริการมีการขยับขยายโดยปรับเพิ่มต้นทุนธุรกิจหลัก, ค่าใช้จ่ายเฉพาะธุรกิจ และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน มากขึ้นก็มีโอกาสให้ระดับเงินทุนของสหกรณ์บริการเพิ่มสูงขึ้นตาม
หากพิจารณา อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ที่โดยรวมของสหกรณ์บริการเพื่อนำไปใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากของแต่ละสหกรณ์บริการ พบว่า ไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 2.38 บาทต่อปี รายละเอียดดังนี้ |
ข้อเสนอแนะ
1. ภาครัฐควรส่งเสริมระบบตลาดประสมให้กับสหกรณ์บริการประเภทเดินรถยนต์แท็กซี่ให้เช่าให้มีครอบคลุมกับทุกจังหวัดโดยเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นและต่างแดนได้อย่างหลากหลาย
2. ภาครัฐควรส่งเสริมบางสหกรณ์บริการเป็นสหกรณ์เอนกประสงค์ โดยให้มีธุรกิจที่หลากหลายด้านเช่น บริการทางการแพทย์ (Medical and Dental Care) บริการนวดแผนไทย(Massage Service) บริการเสริมสวย(Beauty Salon) และ บริการร้านอาหารราคาถูก(Food Shop) เป็นต้น
3. สหกรณ์บริการควรส่งเสริมให้ผู้เช่ารถหรือสมาชิกสมทบของสหกรณ์หันมาเป็นสมาชิกสมบูรณ์ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของสมาชิกโดยแท้จริง เพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการประกอบธุรกิจหลักของสมาชิกของสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์บริการเดินรถ พร้อมทั้งปรับปรุงและแก้ไขกฎระเบียบของสหกรณ์ให้เหมาะสม หากธุรกิจภายนอกต้องการจะปรับทางออกของธุรกิจผ่านระบบสหกรณ์ อาทิ จากธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์เป็นธุรกิจอู่รถยนต์แท็กซี่ให้เช่า และจากธุรกิจสร้างบ้านหรือคอนโดเพียงอย่างเดียวเป็นบ้านตามชานเมืองและอาคารชุดที่มีนิติบุคคลในบริเวณเมืองเพื่อจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.สหกรณ์บริการบางสหกรณ์ที่มีศักยภาพควรปรับการดำเนินธุรกิจให้อยู่ในรูปแบบ E-Business CRM (Customer Relationship Management) หรือเรียกว่า การบริหารสมาชิกสัมพันธ์ โดยการสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิก ผ่านระบบ Internet บนโปรแกรม LINE บน Smart Phone เพื่อสร้างความพอใจให้แก่สมาชิกและผู้เช่า อันจะนำไปสู่ความจงรักภักดีในที่สุด เพราะเป้าหมายของ CRMนั้นไม่ได้เน้นเพียงแค่การบริการสมาชิกและผู้เช่า เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของสมาชิกและผู้เช่า จากนั้นจะนำข้อมูลเหล่านั้นมา วิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือการบริการรวมไปถึงนโยบายในด้านการจัดการ ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนา CRM ก็คือ การเปลี่ยนจากผู้เช่าหรือสมาชิกสมทบไปสู่การเป็นสมาชิกสมบูรณ์ตลอดไป โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
|