ธุรกิจหลักของภาคสหกรณ์การลงทุนในธุรกิจสำคัญของภาคสหกรณ์ไทย 5 ธุรกิจ เพื่อให้บริการแก่สมาชิก ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรับฝากเงิน 2) ธุรกิจให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) 3) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 4) ธุรกิจรวบรวมผลิตผล/แปรรูป และ5) ธุรกิจการให้บริการต่าง ๆ พบว่า ธุรกิจโดยรวมขยายตัวเล็กน้อยอยู่ที่ 0.18% จากไตรมาสที่ 2/2558 คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.04 ล้านล้านบาท โดยธุรกิจการให้เงินกู้ยืม(สินเชื่อ) สูงสุด 57.64% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้นของภาคสหกรณ์ไทย หากเจาะลึกลงไปในแต่ละธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้
1) ให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) ขยายตัวร้อยละ 0.36 สูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.25 นับเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการดำรงชีพของมวลสมาชิกสหกรณ์ใช้บริการค่อนข้างสูงถึง 57.64% ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น มีมูลค่าการให้สินเชื่อรวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี เฉลี่ยเดือนละ 9.8 หมื่นล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเฉลี่ย 9.4 หมื่นบาทต่อคน แบ่งเป็นสินเชื่อนอกภาคการเกษตรมีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดรวมกว่า 1.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 92% ของยอดเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น โดยมีหนี้สินเฉลี่ย 2.1 แสนบาทต่อคน ขณะที่ยอดการให้สินเชื่อในภาคการเกษตร มีเพียง 9.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 8% ของยอดสินเชื่อรวมทั้งสิ้น และมีหนี้สินเฉลี่ย 1.4 หมื่นบาทต่อคน
2) รับฝากเงิน ธุรกิจขยายตัวร้อยละ 0.63 ชะลอลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 7.41 เป็นธุรกิจที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งขยายตัวมากกว่าธุรกิจสินเชื่อ ในรอบปีมียอดเงินรับฝากคิดเป็นมูลค่ากว่า 6.8 แสนล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยเดือนละ 5.5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นยอดเงินรับฝากนอกภาคการเกษตร มีปริมาณสูงสุดเท่ากับ 6.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 89% ของยอดเงินรับฝากทั้งสิ้น โดยมีเงินออมเฉลี่ย 1.2 แสนบาทต่อคน ส่วนภาคการเกษตร มียอดเงินรับฝากเพียง 7.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 10% และมีเงินออมเฉลี่ย 1.1 หมื่นบาทต่อคน
3) จัดหาสินค้ามาจำหน่าย ธุรกิจหดตัวร้อยละ 4.01 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว หดตัวที่ร้อยละ 4.79 มียอดมูลค่าการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายรวมกว่า 7.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยเดือนละ 6.4 พันล้านบาทต่อเดือน โดยภาคการเกษตร มียอดการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายสูงสุดกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 86% ของยอดเงินจัดหาสินค้ามาจำหน่ายทั้งระบบ ขณะที่นอกภาคการเกษตรมีจำนวน 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 12%
4) รวบรวมผลิตผล/แปรรูป ธุรกิจหดตัวร้อยละ 1.71 ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 0.34 มีมูลค่าการรวบรวมผลิตผล/แปรรูปทั้งสิ้น 9.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยเดือนละ 7.7 พันล้านบาท โดยภาคการเกษตรมีปริมาณการรวบรวมผลิตผล/แปรรูปสูงสุด 8.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 90% ของยอดเงินรวบรวมผลิตผล/แปรรูปทั้งระบบ และนอกภาคการเกษตรมีจำนวนกว่า 3.9 พันล้านบาท คิดเป็น 4%
5) การให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ธุรกิจหดตัวร้อยละ 4.22 ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ที่ขยายตัวร้อยละ 1.33 มีมูลค่ารวมกว่า 1.8 พันล้านบาท หรือคิดเฉลี่ยเดือนละ 150 ล้านบาท โดยนอกภาคการเกษตรมีปริมาณการให้บริการสูงสุดเท่ากับ 1.1 พันล้านบาท คิดเป็น 61% ของยอดเงินให้บริการทั้งระบบ ขณะที่ภาคการเกษตร มีจำนวนเท่ากับ 707 ล้านบาท คิดเป็น 38%
บทสรุป ภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 3/2558 โดยภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 มีกำไรทุกกลุ่มทั้งภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร โดยมียอดกำไรรวมทั้งสิ้น 68,694 ล้านบาท นอกภาคการเกษตรทำกำไรสูงสุด 6.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 95 % ของกำไรสุทธิทั้งระบบ (เกษตร 3,466 ลบ., ประมง 4.8 ลบ., นิคม 84.5 ลบ. ร้านค้า 193 ลบ., บริการ 96 ลบ., ออมทรัพย์ 66,578 ลบ., เครดิตยูเนี่ยน -1,856 ลบ., กลุ่มเกษตรกร 126.4 ลบ.) รายได้หดตัว 1.38% จากไตรมาสที่แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายหดตัวลงเช่นเดียวกัน 1.32 % โดยหนี้สินเฉลี่ยต่อคนขยายตัว 0.50 % จากไตรมาสที่แล้ว หรือเฉลี่ย 1.31 แสนบาทต่อคน ขณะที่เงินออมเฉลี่ยขยายตัว 0.43% จากไตรมาสที่แล้ว หรือเฉลี่ย 1.46 แสนบาทต่อคน
สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในภาพรวมทั้งปี 2558 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ดังนั้น ภาคสหกรณ์ไทยต้องเตรียมความพร้อมหามาตรการต่าง ๆ ในการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าสหกรณ์ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจภายในประเทศ การเมือง รวมทั้ง สถานการณ์ภัยแล้ง และภัยธรรมชาติต่าง ๆ ช่วงปลายปี 2558 ประกอบกับการชะลอตัวของการบริโภคของภาคสหกรณ์ไทย และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้า ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจภาคสหกรณ์ไทย |